ศัลยกรรม เสริมจุดเด่น ลบจุดด้อย แต่ต้องศึกษาก่อนทำ

 

mambooko

ความสวยความงามเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ต้องการ สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้คือ “การทำศัลยกรรม” ในโลกแห่งมายานี้ก็มีดาราไม่น้อยที่สวยด้วยแพทย์ อยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นจะยอมรับหรือไม่ วันนี้มีผู้ที่ยอมรับว่าตัวเองผ่านการทำศัลยกรรมมาอย่าง ดีเจ บุ๊คโกะ-ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล จากคลื่น 94 อีเอเอฟ และ ดีเจ เจ๊แหม่ม-วินัย สุขแสวง จากคลื่น 103 ไลค์เอฟเอ็ม นั้นก็มีคำแนะนำและข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมมาเล่าสู่กันฟัง

บุ๊คโกะ ทำศัลยกรรมเสริมความมั่นใจ

ดีเจ บุ๊คโกะ เล่าว่าเป็นคนที่ขายความสามารถมาตั้งแต่เด็ก แต่อยากจะมีบางอย่างที่ทำให้ตัวเองดูมั่นใจมากขึ้น จึงเริ่มทำศัลยกรรมตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 3 โดยเริ่มจากการทำจมูกก่อน เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหน้า แต่จมูกมีปัญหา ไม่มีดั้ง ปีกจมูกใหญ่ ไม่มีส่วนที่นูนเหมือนคน

อื่น เลยอยากจะเสริมความมั่นใจ เพราะจมูกเป็นจุดที่เด่นที่สุดของหน้า แต่พอทำมาแล้วเริ่มไม่เข้ากับหน้า จึงตัดสินใจไปตัดปีกจมูกเป็นครั้งที่สอง และแก้จมูกอีกหลายครั้งจนกว่าจะเข้าที่ จนกลายเป็นกูรูด้านการทำศัลยกรรม

ล่าสุดตัดสินใจบินไปเกาหลี 10 วัน เพื่อทำใหม่ยกหน้า ด้วยการผ่าตัดนานถึง 7 ชั่วโมง ทำเอาช็อกวงการไม่น้อย ทำให้หน้าดูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีส่วนเว้า ส่วนโค้ง ส่วนนูน เป็นการเสริมโหงวเฮ้งและบุคลิกภาพ ที่สำคัญเป็นการสนับสนุนหน้าที่การงานด้วย ซึ่งการทำศัลยกรรมแต่ละครั้ง ต้องมีการวางแผน ศึกษาข้อมูลมาก่อน และคุยกับหมอให้เข้าใจ ถึงแม้จะกลัวเอฟเฟกต์ แต่ทุกอย่างก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ และสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปหลังการทำศัลยกรรมนั่นก็คือ การออกกำลังกาย เพื่อให้หน้าและหุ่นดูดีไปพร้อม ๆ กัน

“บินไปเกาหลีทำยกหน้า เริ่มจากทำตา กรีดตาสองชั้น สร้างชั้นตาใหม่เลย ตัดหัวตาใหม่ ให้ตามันโตขึ้น แบ๊วขึ้น ทำจมูกด้วยการทำจมูกแบบโอเพ่น เปิด 3 จุด ตัดกระดูกหลังหู มาใส่ปลายจมูก วางแท่งซิลิโคนใหม่แล้ววางแผ่นเพลทที่จมูก เย็บปีกจมูกใหม่ ให้มันขึ้นมานิด ตัดกระดูกคาง เพื่อเชื่อมใหม่ ให้บิดมาข้างหน้า ดูดไขมันที่หน้า ดูดไขมันใต้คางออกให้หมด แล้วก็เย็บปากขึ้นไป ซึ่งก่อนทำก็มีการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ มาเป็นอย่างดี ตอนที่ทำก็ตื่นเต้น วางยาสลบหลับไป 7 ชั่วโมง”

หลายคนมองว่า ทำเยอะ ๆ แบบนี้เข้าข่าย “เสพติดศัลยกรรม” ซึ่งบุ๊คโกะน้อมรับคำวิจารณ์ต่าง ๆ ใครจะมองอย่างไรนั้นไปห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่จะเสพติดหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าพอหรือยัง ถ้าทำไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดเลย นั่นอาจจะเรียกว่า เสพติดศัลยกรรม แต่สำหรับบุ๊คโกะ มองว่าตัวเองมีลิมิต สามารถยับยั้งตัวเองได้ ถึงแม้จะหมดเงินไปเยอะกับการทำศัลยกรรม แต่ก็ถือเป็นความสุขทางใจ ไม่ผิดที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น ส่วนที่ทำกับหมอเกาหลีนั้น ไม่ได้มองว่าเก่งไปกว่าหมอไทย เพียงแต่ชอบในสไตล์แบบเกาหลีเท่านั้นเอง

“ทุกวันนี้ก็แฮปปี้กับหน้าตัวเองมาก เป็นคนทำบุญกับศัลยกรรมมาดีมาก แผลหายไวมาก ถ้าจะให้เข้ารูปกว่านี้ต้องใช้เวลา 6 เดือน แต่ตอนนี้ได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว หน้าตาชัดขึ้น จมูกชัดขึ้นเป็นทรงใหม่ ปากก็ดูเป็นกระจับ คางก็ได้รูป แต่ทั้งหมดต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกาย เพราะหมอก็ซีเรียส หน้าได้รูปแล้ว ตัวก็ต้องได้รูปด้วย และสิ้นปีก็มีแพลนจะไปทำตัวอีก คือดูดไขมันออกทั้งตัว เราต้องการจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน”

สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นผลตามมาจากการทำศัลยกรรมนั่นคือ ความผิดพลาดในการทำศัลยกรรมแบบผิด ๆ ดังนั้นจึงต้องศึกษาข้อมูลให้มาก คุยกับหมอให้มากที่สุด ต้องเตรียมตัวก่อนและหลังทำให้ดี เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง แต่นอกจากหน้าตาที่ดูดีขึ้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่ในวงการนี้ได้ก็คือ ต้องขายความสามารถด้วย ศัลยกรรมจึงเป็นการทำเพื่อเสริมความมั่นใจ

เจ๊แหม่ม คิดถี่ถ้วนก่อนทำศัลยกรรม

ดีเจ เจ๊แหม่ม ผ่านการทำมาแบบยกหน้าเช่นกัน รวมมูลค่าแล้วกว่า 3 ล้านบาท โดยตอนแรกการทำศัลยกรรมนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัว เพราะในสมัยก่อนข่าวคราวของการศัลยกรรมนั้นเป็นไปในทางลบซะมากกว่าบวก แต่สาเหตุที่ตัดสินใจทำนั้นเพราะอยากมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น โดยสิ่งที่ทำนั้น จมูก คือแต่เดิมจมูกโต ก็ทำให้โด่งเป็นสันขึ้น มีการตัดปีกจมูกและใส่แกนเข้าไป เมื่อทำจมูกแล้วก็ต้องทำคางด้วยพร้อมกัน เพราะให้รับกันกับจมูก เมื่อใส่แกนจมูกเข้าไปทำให้ชั้นตา 2 ชั้นชัดขึ้น จึงทำการเก็บถุงไขมันใต้ตาเพียงเล็กน้อย ด้วยความที่มีหัวล้าน จึงต้องทำการผ่าตัดสร้างเซลล์ผม เป็นการปลูกถ่ายเซลล์ โดยทำการผ่าตัดมาแล้วถึง 2 ครั้ง และยังมีการดูดไขมัน โดยวิธีการใช้ความเย็นไปฆ่าเซลล์ไขมัน แล้วให้ร่างกายขับออกไป ซึ่งการทำศัลยกรรมทั้งหมดนี้ มีทั้งทำที่เมืองไทยและเกาหลี

เห็นทำศัลยกรรมเซตใหญ่ขนาดนี้ เจ๊แหม่มยอมรับว่า เป็นคนที่กลัวเจ็บมาก แต่ก็อยากจะทำ พอทำไปครั้งหนึ่งความกลัวก็จะหายไป แต่ก่อนทำต้องมีการศึกษาว่า ต้องทำอะไรบ้าง ความเสี่ยงที่ได้มาคืออะไร ความสวยที่ได้มาคุ้มไหม ต้องคิด วางแผนอย่างเป็นระบบ โดยก่อนทำศัลยกรรมแต่ละครั้ง เจ๊แหม่มต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลไม่ต่ำกว่า 3 เดือนเป็นอย่างน้อย มากสุดก็เป็นปี

“ที่กล้าเปิดเผยว่าตัวเองทำศัลยกรรม เพราะรู้สึกว่าการศัลยกรรมไม่ได้เป็นสิ่งที่มันน่าเกลียด ศัลยกรรมคือศาสตร์หนึ่งในเรื่องของการแพทย์ มันคือการแก้ไขปัญหาจุดบกพร่อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าเรามีปัญหาเราถึงทำ เราต้องแยกกันว่าศัลยกรรมคือการผ่าตัด แต่มีอีกอย่างหนึ่งเรียกว่าเมก โอเวอร์ เราจะไม่รวมอันนี้อยู่ในศัลยกรรม ศัลยกรรมคือต้องเข้าห้องผ่า ตัด ต้องมีหมอ ผู้เชี่ยวชาญต้องมีวิสัญญีแพทย์”

อย่างไรก็ตามแม้ใครจะมองว่า “เสพติดศัลย กรรม” แต่เจ๊แหม่มยืนยันว่า ตัวเองนั้นไม่ได้เสพติด ถ้าทำมาแล้วยังไม่เข้าที่ก็ต้องไปปรึกษาหมอ หมอจะเป็นคนลงความเห็นว่าควรทำหรือไม่ควรทำ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเสพติด แต่ถ้าไปทำเอง และบังคับให้หมอทำให้ อันนี้คือเสพติดศัลยกรรมโดยที่ไม่รู้จักพอ

ถึงแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการทำศัลยกรรม แต่เจ๊แหม่มก็มองว่าคุ้ม เพราะเปลี่ยนไปในทางที่ดี และหลังจากทำมาเสร็จแล้ว คนไข้ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย อย่างกีฬาที่เสี่ยงต่อการที่โดนจมูก ก็ต้องหลีกเลี่ยง แล้วก็คอยสังเกตตัวเองว่ามันมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะในท้ายสุดของพวกนี้มันเป็นสิ่งแปลกปลอมทั้งหมด มันก็จะมีอายุของมัน เวลาผ่านไปก็ต้องปรึกษาหมอบ้าง ไม่ใช่ทำแล้วผ่านเลย

“เราไม่ได้สนับสนุนให้คนมาทำศัลยกรรม แต่เรากำลังเชื่อว่าศัลยกรรม มันคือศาสตร์ของการแก้ไขปัญหาจุดบกพร่อง เพราะฉะนั้นอย่าไปมองว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย ศัลยกรรมถือว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเรารู้จักศึกษา เข้าใจหัวใจของมันว่ามันมีประโยชน์ ศัลยกรรมช่วยชีวิตคนมาแล้วมากมาย”

รูปลักษณ์ภายนอกเป็นส่วนที่สำคัญก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือ จิตใจต้องสวยงามด้วย ถึงจะเรียกว่า สวยสมบูรณ์แบบ.

 

ขอบคุณ มยุรี วนะสุขสถิตย์
ที่มา เดลินิวส์

เรื่องน่าสนใจ