อุทาหรณ์ ประสาทหลอนจาก ยาลดความอ้วน ถึงขั้นต้องเข้า รพ.

Depositphotos_14900119_original

น้องสาวเรา (ลูกพี่ลูกน้อง) คือ นิ่ม
สามีของน้องสาวเรา คือ พี่พล

ปัจจุบันนิ่ม อายุ 36 มีลูกชายสามคน พี่พลได้ขอให้นิ่มลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำหน้าที่คุณแม่และภรรยาที่ดี โดยพี่พลให้เงินเดือนนิ่มเดือนละ 1 แสนบาท หน้าที่ของนิ่มคือรับส่งเด็กๆ ไปโรงเรียน (จริงๆมีพี่เลี้ยงสองคนเป็นผู้ช่วย) ครอบครัวนิ่มเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ไม่เคยทะเลาะกันเลยซักครั้ง วันหยุดนิ่มกับพี่พลจะชอบพาเด็กๆ มาเที่ยวที่บ้านเรา เพราะเรากับนิ่มโตมาด้วยกันแม่เรามีศักดิ์เป็นป้านิ่มเลี้ยงนิ่มมาตั้งแต่เด็กๆ

เดิมทีนิ่มเป็นคนหน้าตาสะสวย หุ่นสะบึมมาก แต่หลังจากมีลูกนิ่มก็กลายร่างเหมือนมีนิ่มสามคนอยู่ในร่างเดียว ง่ายๆ คือ นิ่มอวบระยะสุดท้าย ตัวนิ่มเองก็รู้ตัวดีแต่นางบอกว่านางจะยังไม่ลดความอ้วนตอนนี้เพราะต้องให้ลูกคนเล็กอดนมแม่ก่อน (ความคิดดีมาก) หลังจากลูกคนเล็กอดนมแม่ นิ่มเริ่มลดน้ำหนักโดยเริ่มจาก

  • การซื้อห้องอบซาวด์น่ามาติดที่บ้าน ซึ่งนางก็เพลิดเพลินอยู่พักนึงและน้ำหนักนางลดไปสองโล นางก็เริ่มหาอย่างอื่นมาเพิ่ม นั่นคือ
  • เครื่องออกกำลังกาย ซึ่งเหมือนเดิมนางก็เพลิดเพลินอยู่ตั้งเดือนนึงแล้วเลิก บอกไม่ไหวเจ้เหนื่อยหว่ะ ชั้นขี้เกียจอ่ะ

เราบอกนางว่า แกก็งดกินข้าวเย็นดิ นิ่มบอกไม่ได้หรอกชั้นทำไม่ได้เพราะป้อนข้าวลูกทีไรชั้นต้องพ่วงตัวเองตลอด ^^” (เอากะมัน)

หลังๆ นิ่มมาหาที่บ้านเราก็เห็นว่านางผอมเพรียวเอวกิ่ว แต่เอทำไมหน้ามันหมองจังฟะ เราไม่เอะใจเพราะคิดว่าสงสัยนางจะเหนื่อยกับเจ้าลิงทั้ง 3 นิ่มมาบ้านรอบนี้นอกจะหน้าหมองคล้ำแล้วยังคร่ำเครียด มาบอกแม่เราว่าหย่ากะพี่พลแล้ว ทุกคนก็ เฮ้ย!!! อะไรฟะอาทิตย์ก่อนมันยังดีๆ กันเลยอยู่เลย เกิดไรขึ้นเล่ามาดิ้ นิ่มก็เริ่มเล่าว่าแม่พี่พลต้องการให้นิ่มหย่า เพื่อจะได้ให้น้องเลี้ยงของพี่พลมาแต่งงานกับพี่พล สมบัติจะได้ไม่ไปไหน 0.0 แล้วพี่พลก็มีเมียใหม่มีลูกสาวชื่อข้าวตู อายุ 5 ขวบ นิ่มบอกว่านิ่มจ้างนักสืบไปตามและรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

เราเลยถึงบางอ้อว่าที่ยัยนิ่มผอมลง เพราะเครียดและตรอมใจนี่เอง หลังจากนิ่มกลับไป พี่พลก็โทรมาตามว่านิ่มอยู่ที่บ้านเรามั้ย เราบอกพี่พลว่ากลับไปแล้ว เลยคุยกันเรื่องหย่า ปรากฏว่าเหมือนดูหนังคนละม้วน พี่พลเล่าเหมือนที่นิ่มเล่า ต่างกันที่ ไม่มีการขอให้หย่าจากแม่สามี ไม่มีน้องข้าวตู ไม่มีนักสืบ นิ่มมโนไปเองทั้งหมด และพยายามบอกเราว่านิ่มมีปัญหาทางจิต แต่พี่พลต้องหย่าให้เพื่อความสบายใจของนิ่มเอง (แต่เราไม่ปักใจเชื่อ เพราะคิดว่าพี่พลทำผิดจริงแล้วมาสร้างเรื่องให้นิ่มเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความผิดตัวเอง) พี่พลเล่าว่าพักหลังๆ นิ่มแต่งตัวเก่ง ใช้เงินเก่ง เที่ยวเก่ง ไม่สนใจลูก พ่อแม่พี่พลมาที่บ้านนิ่มก็ด่ากราดแถมเอาถาดตีหัวแม่พี่พลอีก บร้ะเจ้าน้องชั้นมิเคยเป็นแบบนี้เลยแม้จะโมโหใครสักเพียงใด ด้วยความเผือกเราเลยโทรหาแม่บ้านที่บ้านนิ่ม ปรากฏว่าป้าแม่บ้านบอกว่านิ่มทำแบบนั้นจริงๆ แล้วพักหลังๆ นิ่มชอบทิ้งลูกไว้ที่บ้าน ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนิ่มจะไม่เคยห่างลูกเลย ยกเว้นตอนลูกไปโรงเรียน

วันนึงอาเราโทรมาหาร้องห่มร้องไห้ บอกว่านิ่มไปหาอาที่เพชรบุรี (อาเราบวชชีอยู่ที่นั่นค่ะ) แล้วหายไปไหนไม่รู้ แต่มีคนเห็นว่านิ่มขึ้นรถออกไปทางตัวเมือง อาเราติดต่อนิ่มไม่ได้ ทุกคนก็ติดต่อนิ่มไม่ได้ อาบอกว่านิ่มมีอาการแปลก ๆ บางทีดึกๆ นิ่มจะไปเคาะกุฏิแม่ชีทุกห้อง เพื่อจะถามแค่ว่ารู้จักคนนู้นคนนี้มั้ย ^^” ทุกคนบอกอาให้ใจเย็นคงไม่มีอะไรหรอก เพราะพักหลังนิ่มก็เป็นแบบนี้ เดี๊ยวก็กลับมาเอง

ตอนแรกทุกคนโทษพี่พลว่าเพราะพี่พลทำให้นิ่มเป็นแบบนี้ เพราะพี่พลหาว่านิ่มบ้า นิ่มเลยเครียด แต่แม่เราคุยกับเราว่าดูแล้วท่าทางแปลกๆ แม่เลยโทรหานิ่ม ปรากฎว่านิ่มรับสาย (นิ่มสนิทกับแม่เรามากกว่าเราอีกค่ะ) นิ่มบอกว่านิ่มอยู่สระบุรีมาหาเพื่อน แม่เราบอกกลับบ้านได้แล้วนะไม่ห่วงเด็กๆ เหรอ สุดท้ายนิ่มก็กลับมาค่ะ วันรุ่งขึ้นแม่เราคุยกับนิ่มนานมากกกกกกก ส่วนใหญ่ก็เรื่องพี่พล นิ่มด่าพี่พล ด่าแม่พี่พลสาดเสียเทเสีย แม่เลยพักเบรกเรื่องเครียดด้วยการสั่งส้มตำมากินกันที่บ้าน สิ่งที่ได้เห็นระหว่างกำลังกินส้มคือ อยู่ๆ นิ่มก็หัวเราะกับจานส้มตำ (มันน่าขำตรงไหนฟะส้มตำนี่) ทุกคนในบ้านก็เริ่มเหวอๆ หลังจากกินเสร็จนิ่มบอกขอไปเข้าห้องน้ำก่อนปวดฉี่ นางหายไปในห้องน้ำครึ่งชั่วโมง ออกมาก็มานั่งกุมขมับ แล้วจู่ๆ ก็ลุกออกไปยืนกอดอกยิ้ม หน้าประตูบ้าน แต่นางก็ยัง (ดูเหมือน) ปกติพูดคุยรู้เรื่อง

แม่เราบอกว่าใช่แล้วแหละพี่พลพูดความจริง แม่เลยหาอุบายที่จะพานิ่มไปพบแพทย์ที่ศรีธัญญา วันที่นั่งรถไปแม่เห็นในรถนิ่มมียาแคบซูล กับพวกสารพัดอาหารเสริมเต็มไปหมด แม่เลยถามว่านิ่มกินยาอะไรอ่ะลูก นิ่มตอบแม่เราว่าไม่ใช่ยาป้า มันเป็นอาหารเสริม แม่เราบอกว่าระวังนะกินพวกนี้มันไม่ดี นิ่มบอกว่าไม่เป็นไรหรอกอันนี้อาหารเสริมอย่างดีเลยนะ วิจัยแล้วว่าดีจริงไม่มีผลข้างเคียง บลาๆๆ (เราแอบเผือกโดยการถามป้าแม่บ้าน ป้าบอกว่าก็คงดีนะเพราะมันแพง คุณนิ่มสั่งรอบละสองสามหมื่น พอกินแล้วผอมลงด้วย) วันนั้นปรากฏว่านิ่มพอแม่เราวนสามรอบกว่าจะได้เข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา แต่สุดท้ายนิ่มก็ยอมไปหาหมอโดยดี ซึ่งอันนี้ยกความดีให้แม่เราที่พูดจนนิ่มยอมไปหาหมอโดยราบรื่น หมอคุยกับนิ่มและแม่เรา หลังจากนั้นก็นัดให้มาหาหมออีกรอบ โดยให้พาพี่พล กับอาเรามาด้วย หลังจากได้ซักประวัติโดยละเอียดและจากการตรวจพบว่านิ่มมีอาการทางจิต (ขอโทษทีค่ะเราจำชื่อที่หมอบอกไม่ได้มันศัพท์สูงเกิน ^^”) จากการใช้ยาลดความอ้วน หรืออาหารเสริมราคาแสนแพงนั่นเองค่ะ ตอนนี้นิ่มแอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา หมอบอกว่าคงต้องอยู่อีกนานเลย แม่เราไปเยี่ยมนิ่มทุกวัน บอกว่าอาการนิ่มก็เหมือนกับคนปกติ แต่บางทีคุยไปคุยมาก็ไม่ปกติ

และในความโชคร้ายของนิ่มยังมีความโชคดีตรงที่พี่พล ยังยืนเคียงข้างนิ่มเสมอค่ะ ทุกวันนี้พี่พลต้องป้อนข้าวเด็กๆ เอง ไปส่งเด็กๆที่โรงเรียนเอง เราเองขอโทษพี่พลไปแล้วที่เคยเข้าใจพี่พลผิด ทุกวันนี้เห็นพี่พลป้อนข้าวเด็กๆ เอง แล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ

เราอยากให้เรื่องนี้ได้เป็นเรื่องนึงที่ช่วยให้ใครก็ตามที่คิดจะผอมด้วยทางลัดได้คิดก่อนตัดสินใจ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา อยากสวย อยากผอมต้องคิดเยอะๆ ก่อนมันจะสายเกินแก้นะคะ

 

ขอบคุณเรื่องราวอุทาหรณ์จากคุณ ดีดี้นอนตัก สมาชิกเว็บไซต์ พันทิป

เรื่องน่าสนใจ