เนื้อหาโดย Dodeden.com

เคยมีคนบอกกับคุณว่า “เธอน่ะเซ็นซิทีฟเกินไป” รึเปล่าคะ ผู้หญิงมักถูกเหมาว่าเป็นอย่างนั้นมากกว่าผู้ชาย เพียงเพราะผู้หญิงนั้นบ่อน้ำตาแตกง่ายกว่านั่นเอง (อันนี้ต้องโทษเทสโทสเทอโรนที่ผลิตน้ำตาออกมามากเกินไป) แต่อารมณ์อ่อนไหวนั้นมี “อะไร” มากกว่าแค่ร้องไห้ มันข้องเกี่ยวกับรากฐานทางชีววิทยาและ สังคมเลยทีเดียว

“ถามพ่อกับแม่ดูสิ ว่าสมัยยังเป็นเบบี๋ คุณเป็นเด็กขี้อายหรือกล้าแสดงออก เลี้ยงง่ายไม่งอแง หรือร้องไห้เก่ง สิ่งที่เคยเป็นตอนเด็กๆ สามารถทํานายได้ว่าโตมาคุณจะเป็นคนแบบไหน เมื่อตกอยู่ในภาวะยากลําบาก คุณจะฉุนเฉลียว ขี้ยั้วะ หรือเพิกเฉยต่อปัญหา เราทุกคนเกิดมาพร้อมนิสัยใจคอเฉพาะตัว ซึ่งถูกกําหนด โดยพื้นฐานทางกรรมพันธุ์”

มียีนชนิดหนึ่งเกียวข้องกับความรู้สึกอ่อนไหวง่ายครึ่งหนึ่งเท่านั้น การเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมที่คุณเติบโตมาต่างหาก ที่สร้างแบบแผนทางอารมณ์ให้คุณ มันผสมผสานระหว่างธรรมชาติกับการเลี้ยงดู ว่าคุณจะเชื่อมโยงความรู้สึกกับสถานการณ์อย่างไร เช่น คุณเกิดมาพร้อมกับยีนตัวนี้ และเติบโตในบ้านที่มีแต่ความวุ่นวาย คุณไม่มีโอกาสแสดงออกได้ชัดเจน จึงต้องเก็บอารมณ์ละเอียดอ่อนไว้ใต้จิตสํานึก

ปล่อยไปตามความรู้สึก
ก่อนหน้านี้ เคยมีคนใช้การถูกสบประมาทเป็นตัววัดความสำเร็จ โดยเฉพาะในสังคมที่ให้ความสําคัญกับฐานะและการศึกษา รวมทั้งคนทะเยอทะยาน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนความเชื่อก็เปลี่ยน ตามผลการวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า ความอ่อนไหวทางอารมณ์ ไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอเสมอไป ที่จริงมันเป็นเกราะป้องกันภัยให้เราด้วยซ้ำ คุณสมบัตินี้คงดํารงอยู่ในยีนไม่ได้ ถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย คนอ่อนไหวง่ายมีความระมัดระวังสูง และตื่นตัวอยู่เสมอ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ อันตราย อารมณ์ก็เช่นเดียวกัน ใช่ว่าจะนําพามาแต่เรื่องแย่ๆ เพราะบางครั้งมันช่วยให้เรากล้าเปิดใจ 
เช่น การตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่ ที่จําเป็นต้องไปทํางานต่างจังหวัด อย่าเพิ่งตัดสินใจโดยใช้สมองอย่างเดียว ควรฟังความรู้สึกของตัวเองด้วย กระบวนการคิดอาจมีอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายคนกลุ่มนี้ก็สามารถตัดสินใจได้ดีและไม่ผิดพลาด  ข้อดีอีกอย่างของสาวเซนซิทีฟคือ เมื่ออยู่ในวงสนทนา เธอจะระวังคําพูดและใส่ใจกับความรู้สึกของผู้ฟังเสมอ เธอรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจบบทสนทนาหรือคุยช้าลง หรือหากเป็นผู้ชม เธอจะอินกับแต่ละบทบาทในเรื่องมากๆ คนอ่อนไหวง่ายมีความละเอียดอ่อน พวกเธอจะสังเกตรายละเอียดที่คนอื่นมองข้ามได้ดี

เมื่อไหร่ และอย่างไร ที่ต้องเข้มเเข็ง
แน่นอนว่าคุณไม่สามารถทําตัวเป็นสาวเช้นซิทีฟที่แสนบอบบางได้ตลอดเวลา การนั่งหน้าดําคร่ำเครียดและร้องไห้เกินงามในที่ทํางาน คุณอาจถูกมองว่าชอบ ทําตัวโอเวอร์และอ่อนแอ อีกอย่าง ทัศนคติที่เพื่อนร่วมงานมีต่อคุณ ก็จะส่งผลกระทบต่องานด้วย หลายคนอาจกังวลหรือคิดมากเกินไปว่าคนอื่นจะมองตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร พวกเขาจึงมองหาความมั่นใจเสมอ คนนิสัยอ่อนไหวง่ายมักชีวิตรักไม่ราบรื่นเท่าไหร่ เมื่อถูกปฏิเสธ เจ้าหล่อนจะกลายเป็นคนขี้วิตกกังวล หวาดระแวงเกินเหตุ โมโหร้าย และเศร้าซึม เป็นเหตุให้ใครๆ มองว่าเป็นคนน่ารําคาญ ทําให้หนุ่มๆ เหลืออด มีโอกาสเลิกราสูง หากฝ่ายชายทําบางอย่าง (เช่นไม่สนใจคุณเพราะมัวแต่ลุ้นฟุตบอลนัดสําคัญ) คุณจะซึมๆ เงียบๆ ผิดปกติ คิดเอง เออเอง ว่าเขาไม่รักแล้ว จําไว้ว่าไม่จําเป็นต้องฝืนตัวเองถึงขนาดทําเป็นร่าเริงหรอกค่ะ สิ่งที่ควรทําไม่ใช่พยายามฝืนความรู้สึก แต่เป็นการยอมรับและเข้าใจอารมณ์ตัวเอง แล้วควบคุมมันให้ได้ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนที่มีอารมณ์เชิงลบอยู่ตลอดเวลา

หลีกเลี่ยงเรื่องดราม่าทั้งหลาย
หากหนังเรื่อง San Marley & Me ทําให้คุณ sad ไปทั้งวัน แนะนําให้เปลี่ยนแนวหนัง ถ้ายังอยากมีชีวิตสดใสทุกวัน ไม่อย่างนั้นก็มองข้ามไปซะ หรือถ้าคุณเผลอ
ทําให้เพื่อนร่วมงานเสียใจ แล้วรู้สึกผิดขึ้นมาล่ะก็ แนะนําให้นัดเจอกัน พร้อมขอโทษสํานึกผิดในสิ่งที่เคยทําลงไปแล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

บางสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้คุณจะรู้ดีว่างานนี้ต่อมน้ำตาแตกแน่ๆ เช่น คุณรู้ว่าต้องโดนแม่ต่อว่าอย่างรุนแรงต่อหน้าคนอื่นในวันรวมญาติแน่ๆ ก่อนถึงวันจริง ลองจําลองสถานการณ์กับเพื่อน คุณก็แค่แสดงตามบทที่เคยซ้อมไว้ แล้วจะรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณก็สามารถผ่านมันไปได้ และรู้สึกเข้มแข็งขึ้นได้เยอะเลยค่ะ

เรื่องน่าสนใจ