ทำเอาหลายคนตกใจหนักมาก เมื่อนักแสดงสาว แตงโม นิดา ออกมาประกาศยุติการเล่นละคร เพราะปัญหาสุขภาพที่สะสมมานานทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนแอ จนเจ้าตัวต้องเฟดตัวออกจากวงการเพื่อมารักษาตัวเอง ล่าสุดสาวแตงโมได้มาเปิดใจถึงเรื่องนี้ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง one31 ที่มี บุ๋ม ปนัดดา และ ชมพู่ ก่อนบ่ายฯ เป็นพิธีกร

 

แตงโม นิดา

 

เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงประกาศพักงานวงการบันเทิงผ่านไอจี ?
แตงโม : ด้วยความที่วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการปิดกล้องละครทุกเรื่องสำหรับ 1 รอบปีที่ผ่านมา คือเราก็ตั้งใจมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า อยากพัก ก่อนหน้านี้ก็พอจะรู้ว่าร่างกายของเราไม่ค่อยสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยตั้งใจว่าถ้าหมด 5 เรื่องนี้แล้ว ก็จะของดไปก่อน ขอรักษาตัวก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ในวันที่เราหายดีแล้วดีกว่า

รับละคร 5 เรื่อง ทำไมถึงทำงานหนักขนาดนี้ ?
แตงโม : จริง ๆ ชีวิตก็ไม่เคยรับงานแบบบ้าคลั่งขนาดนี้ คือเราคิดในใจว่างานมันไม่เคยหักหลังเรา เราทำงานแล้วมีความสุข จนบางทีเราก็ลืมคิดไปว่าความโง่ของเราคือเราทำงานโดยที่ไม่พัก มันก็โทษใครไม่ได้

ก่อนโพสต์ได้มีการปรึกษาใครก่อนไหม หรือตั้งใจโพสต์เลย ?
แตงโม : คือก่อนหน้านั้นก็ตั้งใจกับตัวเองไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องพัก เพราะเรามีการปรึกษาคุณหมอไปแล้ว แต่ว่าที่ตัดสินใจโพสต์วันนั้น หลาย ๆ คนคงไม่ได้คิดว่าโมจะพูดต่อหน้าสาธารณชน คิดว่ามันคือการปรึกษากับคนในครอบครัวหรือใกล้ชิดเท่านั้น แต่ว่าด้วยความที่เราก็เกรงใจเหมือนกัน ว่าถ้าเกิดเราจบจากละครเหล่านี้แล้ว บางท่านที่อยากจะติดต่อเรา ทีนี้เราก็ต้องมานั่งอธิบายให้เขาฟังว่ามันเพราะอะไร เราก็เกรงใจเขาด้วย ก็เลยบอกให้เป็นที่รู้กันไปเลยว่า เราเกิดเหตุจำเป็นที่เราจะต้องพักจริง ๆ นะ ไม่ใช่แค่ข้ออ้างที่จะไม่รับงานนั้นงานนี้ มันป่วยจริง ๆ ค่ะ

 

 

ป่วยเป็นอะไร แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง ?
แตงโม : เป็น Panic disorder ค่อนข้างหนักนะคะ คืออาการสภาวะทางจิตที่เรียกว่าวิตกกังวล หวาดระแวง แล้วก็อีกโรคนึงที่เพิ่งตรวจเจอล่าสุด คือโรคต่อมหมวกไตล้า เป็นโรคเกี่ยวกับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้เราจัดการกับความเครียดได้ในชีวิตประจําวัน สถานการณ์เฉพาะหน้าบางอย่าง หรือความเครียดจากงานหรือเรื่องส่วนตัวต่าง ๆ ซึ่งต่อมฮอร์โมนตัวนี้ของเรามันต่ำ เราไม่สามารถที่จะไปต้านความเครียดเหล่านั้นได้เลย ทีนี้ก็จะเป็นจิตใจของเราล้วน ๆ ที่ไปสู้กับเหตุการณ์เหล่านั้น บางครั้งมันก็ไม่ไหว

รู้มานานหรือยัง ว่าเป็นโรคเหล่านี้ ?
แตงโม : โรคต่อมหมวกไตล้าเพิ่งรู้เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้วนี่เองค่ะ อาการมันก็จะเป็นแบบเหนื่อยง่ายกว่าชาวบ้าน จากที่เราเคยมีพละกำลังเยอะ ๆ เราจะรู้สึกว่าเราทำงานได้เท่านี้เราก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ความจำไม่ค่อยดี ก็เริ่มสังเกตตัวเองพบว่าจำไม่ได้ว่าที่ปัดน้ำฝนมันเปิดยังไง ร่างกายไม่เผาผลาญ เหมือนกับว่าพอมันแปรปรวนมันก็จะเป็นไปทั้งร่างกาย แล้วก็ในเรื่องของอารมณ์หงุดหงิดง่าย ผิวแห้งมากจนใช้สบู่อาบน้ำไม่ได้ คือแต่ละคนจะมีเอฟเฟคที่ต่างกันขึ้นอยู่กับว่าต้นทุนของเราจะมายังไง แต่ต้นทุนของโมมันน้อยมากเพราะโมเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว กลางวันไม่ตื่น กลางคืนไม่นอน จะไปตื่นจริง ๆ ช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็น จนเลยไปถึงตี 2 ฮอร์โมนเราก็จะหลั่งผิดเวลา จริง ๆ มันควรจะหลั่งกลางวันตอนที่เราทำงาน แต่พอมันเป็นหลั่งกลางคืนเราก็นอนไม่หลับ และอีกอันหนึ่งคือเวลาถ่ายละคร เราก็จะไม่ได้นั่ง ต้องยืนทั้งวันจะได้นั่งก็ต่อเมื่อพักเบรค โมจะยืนบนส้นสูงไม่ไหวแล้ว ก็จะต้องคอยถามผู้กำกับอยู่ตลอดว่าเห็นเท้าของโมไหมอะไรแบบนี้

สาเหตุที่เกิดอาการ และเป็นโรคนี้เกิดจากอะไร ?
แตงโม : มันเกิดจากการที่เราทำงานและหักโหมเกินไป คุณหมอบอกว่า เราเป็นคนที่เหนื่อยแล้วลาก เหนื่อยแล้วไม่พัก ชอบลากยาว และอีกอย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนละเลยคือการไม่ทานข้าวเช้า โมไม่เคยทานข้าวเช้าเลยตั้งแต่เกิดมา การไม่ทานข้าวเช้าจะส่งผลต่อร่างกายหลายอย่างมาก รวมไปถึงการเผาผลาญด้วย

 

 

โรคนี้ไปส่งผลต่อโรคเดิม Panic disorder ด้วยหรือเปล่า ?
แตงโม : ด้วยค่ะ ด้วยความที่เป็นโรคนี้เขาบอกว่าห้ามเครียด แต่พอเรารู้ว่าเราเป็น เราเครียดกว่าเดิมอีก มันก็เกิดความน้อยใจเหมือนกันนะว่าทำไมหวยมาออกที่เรา แต่ก็อย่างที่บอกว่าโทษใครไม่ได้ ก็ต้องโทษตัวเราเอง Panic disorder เป็นผลพวงมาจากการเป็นโรคซึมเศร้า เกิดจากความเครียดสะสม เกิดจากโรคทางจิต แล้วพอเรารักษาไปได้สักระยะหนึ่ง มันก็จะมีอาการเพิ่มขึ้นมา ของโมจะมีอาการมือชา เท้าชา ปากชา ใจสั่น เหมือนคนที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ตลอดเวลา แล้วจะตกใจหรือสะเทือนใจกับสิ่งรอบข้างได้ง่ายมาก ก็จะต้องทานยา มันก็จะดีขึ้น แต่ว่าถ้าเราไม่ได้บำบัดด้วยวิธีการอย่างอื่น มันก็จะต้องใช้ยาต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นการที่โมอยากจะพักงาน คือการที่โมอยากจะบำบัดด้วยวิธีอื่นควบคู่กันด้วย

ที่ผ่านมาเคยเป็นหนักสุดถึงขั้นไหน ?
แตงโม : หนักสุด ก็ต้องยอมรับตรง ๆ ค่ะว่าคนที่เป็นเกี่ยวกับโรคนี้ หนักสุดก็ต้องอยากฆ่าตัวตายทุกคนอยู่แล้วค่ะ มันเหมือนอะไรก็มีข้อจำกัดในชีวิตเยอะไปหมด จนบางทีเราก็เครียด

แล้วผ่านมาได้ยังไง ?
แตงโม : สุดท้ายแล้วพออาการมันดีขึ้น เราก็จะคิดได้ว่ามันเป็นแค่อาการน้อยใจชั่ววูบเท่านั้นเอง ถ้าเรารักษาและมีระเบียบวินัยกับตัวเอง คุณหมอก็บอกว่ามันก็สามารถหายได้โดยที่เราไม่ต้องรับการรักษาโดยการฉีดฮอร์โมนด้วยซ้ำ แต่เราก็จำเป็นที่จะต้องมีวินัยในการใช้ชีวิต จริง ๆ แล้วเราก็เห็นคนอื่นเป็นแบบนี้ก็เยอะ ไม่รู้ตัวก็มี ถ้าเราน้อยใจแล้วคิดว่าเราไม่อยู่ดีกว่า ใครจะไปให้ความรู้ความเข้าใจกับเขาก็ไม่รู้ เพราะว่าโมเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แล้วโมได้ให้ความรู้ความเข้าใจกับคนที่เป็น โมก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยให้เขาได้รู้ตัวเองเร็ว เพราะฉะนั้นเดี๋ยวโมจะให้ความรู้ความเข้าใจเอง ถ้าโมช่วยได้

 

 

ประเด็นไม่รับงานละครแล้ว ทำให้คนมองไปในด้านลบ รู้สึกยังไง ?
แตงโม : ชินแล้วค่ะ มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่มาคู่กับโมตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าโมจะขยับตัวตรงไหนหรือทำอะไรก็ตาม คนก็ว่าโมสร้างกระแสอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องราวของโมเป็นที่จับตาของคนบางกลุ่ม เราก็เลือกที่จะไม่เสพข่าวเหล่านี้ ใช้ความเข้าใจเป็นหลักว่า ถ้าเราเป็นเขาเราก็อาจจะคิดแบบนี้ก็ได้อะไรแบบนี้

ถ้าไม่รับงานละคร แล้วจะเอาอะไรกิน ?
แตงโม : มันก็คงถึงเวลาแล้ว ประจวบเหมาะกับช่วงอายุที่เหมาะควรจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โมก็สนใจอยู่หลายทางแต่ขอตัดสินใจก่อน แล้วมันก็จะมีงานที่โมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เขา ยังมีตรงนี้อยู่

แล้วคิดว่าจะกลับมารับงานละครอีกไหม ?
แตงโม : รับค่ะ คือชีวิตนี้จะตัดขาดกับการแสดงก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่จะให้กลับมาเป็นนางเอกเหมือนเดิมอะไรแบบนี้คงเป็นไปได้ยาก เราต้องยอมรับ ด้วยอายุเราเยอะ โมหวังแค่ว่าจะได้แสดงในบทบาทที่หายากในชีวิตนักแสดง แล้วเราเน้นแค่คุณภาพตรงนั้น หรือบางเรื่องจำเป็นที่จะต้องเป็นเราจริง ๆ ก็จะเล่นค่ะ แต่ถ้าบางเรื่องที่จะต้องใช้ร่างกายเราหนักแบบเดิมอีก โมขออนุญาตรักตัวเองบ้างดีกว่าค่ะ

ฝากถึงคนรอบข้างที่จะต้องอยู่กับคนที่มีอาการแบบนี้หน่อย ?
แตงโม : คำให้กำลังใจที่ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาของเขาถูกแก้ ยกตัวอย่างเช่น สู้ ๆ นะ เราแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจริง แต่ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ มันเป็นคำที่ทำให้คนที่เป็น รู้สึกว่าแปลกแยกจากคนอื่น อยู่ในภาวะที่จะต้องต่อสู้กับอะไรบางอย่าง ดีที่สุดคือ รับฟังปัญหาแล้วไม่ต้องตอบโต้อะไรเลย รับฟังแล้วหยิบของมีคมหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เขาสามารถฆ่าตัวตายได้ เอาออกจากห้องให้หมด แล้วอยู่เป็นเพื่อนเขารับฟังเงียบ ๆ แค่นั้นเอง

 

 

ขอขอบคุณภาพจากราย คุยแซ่บ Show

 

ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

เรื่องน่าสนใจ