คนไข้หลายคนสงสัยว่า ใบหน้าอย่างเค้า หรือใบหน้าอย่างหนูเหมาะกับ ซิลิโคนแบบไหน เพราะเท่าที่ลองสอบถามมาหลายที่ บอกไม่เหมือนกัน บางที่มีให้เลือกหลายแบบตั้งแต่ ซิลิโคนไทย , ญี่ปุ่น , ไต้หวัน , เกาหลี, อเมริกา และ ซิลิโคนบราซิล

02

แถมราคา ของเจ้า ซิลิโคนนี้แตกต่างไปตามควมแปลก ของที่มาด้วย  ยกตัวอย่าง

  • Silicone ไทย   :  ( สีเทา แข็งๆๆ ) ถูกที่สุด ราคา  5,000-6,000 บาท
  • Silicone ญี่ปุ่น :  ( สีเหลือง นิ่มปานกลาง ) ราคามีตั้งแต่  8,000 – 15,000 บาท
  • Silicone เกาหลี : ( สีเหลือง หรือ สีน้ำตาลแดง นิ่มปานกลาง )ราคา  20,000 – 30,000 บาท
  • Silicone อเมริกา  : ( สีขาว นิ่มปานกลาง ) ก็ราคา 15,000  – 25,000 บาท
  • Silicone บราซิล  : ( สีขาว เป็นลักษณะ Duo silicone ปลายจะนิ่มมาก ) 40,000 บาท

คำถามก็เกิดขึ้นมากมายว่า “แล้วแต่ละที่มา มันดีแตกต่างกันอย่างไร” แล้วคนไข้แต่ละคนเหมาะกับแบบไหน ราคาแพงกว่าย่อมดีกว่าหรือเปล่า ?

ก่อนจะตอบคำถามขอพูดถึงลักษณะของซิลิโคนแต่ละชนิดก่อนว่า ซิลิโคนที่สามารถนำมาใช้ในร่างกายคนไข้ได้นั้นต้องเป็น ซิลิโคนทีผลิตขึ้นมาใช้ในการแพทย์ได้เท่านั้น  หรือที่ เรียกว่า Medical Grade Silicone ซึ่งประเทศไทยไม่ได้มีโรงงานที่สามารถผลิต Medical Grade Silicone ได้ค่ะ

ดังนั้นที่บอกว่าเป็น ซิลิโคนไทย ( ลักษณะ แข็งๆ สีเทา ) นั้นไม่จริงค่ะ  ( แต่ สำหรับพวกที่ลักลอบแอบทำกันในไทย แล้วไปโม้ว่าเป็น ของญี่ปุ่นมาหลอกขายก็มีเยอะนะค่ะ คลินิกต่างๆระวังให้ดี เพราะว่าถ้าใส่ ซิลิโคนประเภทนี้ไปอันตรายสำรับคนไข้แน่ๆ  )

ส่วนที่บอกว่า เป็น ซิลิโคนอเมริกา และ ซิลิโคนบราซิล นั้น ก็ขอบอกเลยว่า ประเทศดังกล่าวนั้นมีเทคโนโลยีที่สามารถ ผลิต Medical Grade Silicone ได้แต่ เค้าจะผลิตเยอะๆ ไปทำไม  ในเมื่อประชากรของเค้า ทั้ง อเมริกา และ บราซิล จมูกโด่ง ถึงโด่งมากอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่คำว่า เสริม จมูก ( Rhinoplasty) ของฝรั่งนั้น โดยส่วนใหญ่คือการลดขนาดของจมูก ไม่ได้เป็นการเสริมจมูกแบบชาวเอเชีย

01

ดังนั้น ซิลิโคนที่ บริษัทต่างๆ นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยนั้นมาจาก บริษัทของ จีน ,ไต้หวัน  ,ญี่ปุ่น และ เกาหลี ซึ่งบอกได้เลยค่ะว่า ฐานการผลิต หรือโรงงานที่ ผลิตนั้น อยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ค่ะ ( คล้ายๆ IPad/ IPhone  นะค่ะที่ ผลิตที่จีนแล้วไปตีตรา USA – ไม่เชื่อลอง search คำว่า Nasal implant silicone ในอากู่ดูค่ะ กดตรงค้นรูปภาพ แล้วจะพบว่า บริษัทที่ผลิตนั้นเป็นจีนทั้งนั้น )

ตอนนี้คงพอจะเข้าใจกันแล้ว ใช่ไหมค่ะว่า จริงๆ แล้ว Silicone นั้นมีที่มาจากที่ แห่งเดียวกัน แล้วทำไมมันถึงแตกต่างทางด้าน ราคานัก แล้วอย่างนี้ คนไข้ จะตัดสินใจเลือกอย่างไรดี ?

ขอแนะนำดังนี้ค่ะ Medical Grade Silicone นั้น มี ให้เลือกจริงๆ 2 แบบใหญ่ คือ

1 ) ซิลิโคนสำเร็จรูป  ( คือ ซิลิโคนที่ทำมาสำเร็จแล้ว ) จะเห็นว่ารูปทรงจะออกเทพมากๆๆ สวยแบบนี้ใส่ในจมูกเราคงงามน่าดู คิดได้ค่ะ  “แต่ตามความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้??” เพราะคิดดูซิคะ รูปทรงออกมาจากโรงงานมันค่อนข้างเป๊ะมากๆๆแต่จมูกเราในแต่ละคนมันไม่เหมือนกันความเว้าโค้งไม่เหมือนกัน

ดังนั้นการที่เอาแบบสำเร็จรูปมาใส่บนหน้านั้นเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะเหมาะกับทุกคน   เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้บริษัท ซิลิโคนสำเร็จรูปคงโวยวาย ยกมือขึ้นค้านว่า ซิลิโคนสำเร็จรูปนั้นมีหลายแบบ หลาก style จะต้องมีซักแบบแหละน่ะที่เหมาะกับคนไข้  ( จริงอย่างที่เค้าว่านะค่ะว่า ต้องมีซักแบบ )แต่ถ้าพูดกันจริงๆๆว่าเกือบทุก Clinic จนถึงหลาย โรงพยาบาล ไม่ได้มีแบบให้คนไข้เลือกเกิน 5 แบบหรอกค่ะ พอเห็นแบบว่าคล้ายหน่อยใกล้เคียงหน่อยก็จับใส่แล้ว ที่เหลือเอามาแต่งๆๆเหลาเอา

จริงๆคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดนะค่ะ ( คล้ายๆ ซื้อ กางเกงโหลๆ มาใส่แล้วไม่พอดี เอาไปแก้ซิบซะหน่อยตัดขาออกซะหน่อยก็ใส่ได้แล้ว )  แต่ที่แปลกคือของที่ผลิตออกมาเยอะขนาดนั้นกับราคาแพงแทนที่ราคาจะถูก ???

2 ) ซิลิโคนแท่ง ( คือ Block Silicone  ที่เป็นแผ่นใหญ่แล้ว นำมาเหลา ) ซึ่ง  Silicone แท่งนั้นแบ่งออกเป็น 4 ชนิดย่อยตามลักษณะความอ่อนแข็ง คือ

2.1 ) Hard   ( แข็ง )
2.2 ) Medium ( แข็งปานกลาง )
2.3 ) Soft ( นุ่ม )
2.4 ) Ultra Soft ( นุ่มมาก )

เมื่ออ่านถึงตรงนี้คนส่วนใหญ่จะคิดว่า งั้นของเราเลือกแบบ นิ่มๆๆ นุ่มๆ ดีกว่า จะได้จับได้บิดได้เผื่อเดินไปชนอะไรจะได้ไม่เกิดปัญหา  ซึ่งหมอบอกได้เลยว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูกซะทีเดียว  เพราะว่า ถ้า Silicone นุ่มเกินไป จะไม่สามารถเหลาขึ้นรูปทรงให้สวยงามได้ เพราะมันนิ่มมาก

Depositphotos_42268289_m-2015

นอกจากนี้ยิ่งมันนิ่มมากแล้วเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังเรา ต่อไปซักพัก Silicone ที่ นุ่มมากๆนั้นจะยุบตัวลงไปอีกทำให้ดูไม่โด่งเหมือนไม่ได้ทำมา ( บางคนคิดเลยว่าเสียตังค์ตั้งแพง เหมือนไม่ได้ทำเลย เซ็งจัง !! ) ขอแนะนำอย่างนี้นะค่ะว่า แต่ละคนมีผิวใบหน้าไม่เหมือนกัน ( หนังหน้าไม่เหมือนกัน ) การเลือก Silicone นี้ควรจะขึ้นกับความหนาบางของผิว หน้า โดยเฉพาะบริเวณสันจมูกและ ปลายจมูกค่ะ โดยแบ่งวิธีการเลือกดังนี้ค่ะ

1 ) ถ้าคนไข้ มีเนื้อบริเวณสันจมูกเยอะ หรือมีความหนา  ( คือสามารถดึงเนื้อขึ้นได้เยอะ ) สามารถเสริมจมูกให้โด่งได้มากรวมถึงสามารถใช้ Silicone ที่มีความแข็งในระดับ Medium ได้เพื่อที่จะสามารถเหลา Silicone ทำให้รูปทรงสวยงามได้ เพราะนอกจากจะดูสวยและเนียนแล้วยังไม่ยุบตัวง่ายเมื่อเสริมไปนานๆ  ในกรณีนี้หมอจะเลือกให้ Silicone สีขาว หรือที่คนไข้เข้าใจว่าเป็น  Silicone อเมริกา

2 ) ถ้าคนไข้มีเนื้อบริเวณสันจมูกไม่มากไม่น้อยกลางๆ  หมอแนะนำให้ใช้ Silicone ที่มีความแข็งในระดับ Soft ค่ะ เพราะ เมื่อเสริมไปแล้ว จมูกจะดูโด่งและสวย ถึงแม้ว่า เวลาผ่านไปก็จะยิ่งดูเนียนขึ้น   ในกรณีนี้หมอจะเลือกใช้ Silicone สีเหลือง หรือ สีน้ำตางแดงค่ะ หรือที่คนไข้เข้าใจว่าเป็น Silicone ญี่ปุ่น หรือเกาหลี

3 ) ถ้าคนไข้เนื้อบริเวณสันจมูกน้อยหรือเนื้อบางมากๆ  ( คือไม่สามารถดึงเนื้อบริเวณสันจมูกขึ้นได้เลย ) กรณีนี้หมอไม่แนะนำให้เสริมจมูกโดยการใช้ Silicone ค่ะ เพราะ เนื้อที่บางมากๆ เมื่อใส่ Silicone ไปแล้วเวลาเนื้อแนบกับ Silicone ที่ใส่ไปแล้วจะดูโด่งถึง โด่งมากค่ะ กรณีนี้ ถ้าคนไข้อยากเสริมจริงๆคงต้องแนะนำให้ เสริมแบบการฉีด ไขมันเทียม น่าจะเหมาะสมกว่าทั้งนี้ทั้งนั้น ในเวลาที่คนไข้ ต้องการจะเสริมจมูก ขอให้คิดให้ดีก่อนว่าราคาของ Silicone ที่แพงๆใช่ว่าจะทำออกมาแล้วได้สวย  ความสวยของการเสริมจมูกนั้นขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ทำการเหลา Silicone ในแต่ละชนิดที่เหมาะกับหน้าของเรามากกว่า

อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า ศัลยแพทย์ตกแต่งที่พยายามเหลา  Block Silicone .ให้เหมาะกับจมูกของเราซึ่งมีแท่งเดียวอันเดียวในโลกนั้น( Limited Edition ) เค้าต้องใข้ความตั้งใจ และพยายามมากแค่ไหน (เปรียบเหมือนกับ ศิลปิน ที่ทำงาน ศิลปะ )  ซึ่งไม่เหมือนกับโรงพิมพ์ที่พิมพ์ภาพโหลๆแล้วออกไปขาย

ข้อมูลจากหมอศรัณย์คลินิก

  • เบอร์มือถือ094 645 1466
  • คลินิกของหมอศรัณย์เปิด จันทร์-เสาร์00-20.00 น. ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ
  • เข้าตรวจและรับปรึกษา จันทร์ อังคาร พฤ. เวลา30-19.00 และเสาร์ เวลา00- 18.00 น.เท่านั้น
  • ที่อยู่ : 1287-9 ปากซอยอินทามระ 43 ถนนสุทธิสาร-รัชดา แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. 10400
  • Email :  [email protected]
  • Website : http://www.saransurgeryclinic.com
  • www.doctorsaran.com
  • Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/SARANCLINIC/

เรื่องน่าสนใจ