เรียบเรียงโดย : โดดเด่นดอทคอม
อาการ “เล็บขบ” โดดเด่นเชื่อว่าหลายๆคน คงเคยประสบอาการนี้มาแล้ว ความรู้สึกที่ปวดร้าวแม้เพียงกระทบกระเทือบเพียงเล็กน้อย บางคนอาการหนักถึงขั้นมีหนอง เจ็บปวดจนน้ำตาไหล ต้องไปโรงพยาบาล วันนี้โดดเด่นเลยขอนำความรู้มาฝากทุกคนว่าทำอย่างไรไม่ให้เป็น แล้วถ้าเป็นจะรักษาอย่างไรมาฝากกันค่ะ
เล็บขบ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเล็บคุด (Unguis Incarnatus) คือ อาการที่เกิดจากปลายเล็บของเราจิกหรือทิ่มเข้าไปยังซอกเล็บบริเวณผิวหนังด้านข้างจนทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง และเจ็บปวดทรมานมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดบริเวณด้านนอกของนิ้วเท้าเรา โดยหากไม่ได้รับการรักษาก็จะทำให้เนื้อเยื่องอกขึ้นมาสร้างความเจ็บปวดทรมานเวลาเดินไปไหนมาได้เป็นอย่างยิ่ง และยิ่งหากบริเวณที่เกิดเล็บขบนั้นมีหนองไหลออกมาก็จะยิ่งสร้างความเจ็บปวดแก่ผู้เป็นเล็บขบทวีคูณจนอาจถึงขั้นต้องถอดเล็บออกไปเลยก็มี
โดยในระยะแรกของผู้ที่เป็นเล็บขบนั้นจะมีเพียงแค่อาการบวมแดงเพียงเล็กน้อย เมื่อสัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บและอุ่นเล็กน้อย หากไม่ได้รักษาในเบื้องต้นนิ้วที่เป็นเล็บขบก็จะบวมมากขึ้นและปวดมากโดยไม่ต้องสัมผัส ซึ่งอาจมีหนองไหลออกมาทำให้เกิดการติดเชื้อได้ และต่อมาอาจมีไข้ร่วมด้วย โดยเล็บจะมีการหนาตัวมากขึ้นและติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น ทำให้ไปไหนมาไหนไม่ได้เพราะไม่สามารถใส่รองเท้าได้จึงควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเอชไอวีหรือเบาหวานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปพบแพทย์ขณะเป็นแต่เนิ่นๆ เลย เพราะอาจรุนแรงติดเชื้อลึกเข้าไปยังกระดูกเลยทีเดียว
หากต้องการให้เล็บขบหายขาด หรือเกิดอาการเล็บขบขั้นรุนแรง นิ้วบวม มีหนองไหล เพราะเกิดการติดเชื้อ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ซึ่งแพทย์ก็จะให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบทา หรือแบบรับประทาน แต่หากใครเป็นหนัก คือ ปวดมากและมีหนองไหลมาก รวมถึง มีก้อนเนื้อบริเวณข้างเล็บหนา แพทย์ก็อาจทำการดูดหนองและถอดเล็บที่ขบออกให้ ทั้งนี้ แผลจะหายเป็นปกติภายใน 2 – 3 สัปดาห์ เพราะอาการดังกล่าวมีอันตรายมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก หรือเป็นโรคเอดส์ เบาหวาน เหล่านี้ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ
ใครที่รักษาเล็บขบหายแล้ว ก็ควรจะป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ ด้วยการตัดเล็บให้เป็นแนวตรง อย่าตัดติดเนื้อ แล้วใช้ตะไบถูขอบเล็บให้หายคม
ข้อมูลจาก : เกร็ดความรู้, hmahosot
ภาพประกอบจาก : drdandrapacz