ฉีดโบท๊อก อันตรายถึงชีวิต??

500_9

เทคโนโลยีความงามนั้นเปรียบได้กับเหรียญที่มี “สองด้าน” คือมีทั้งด้านดีและด้านร้าย จากสารพิษปลิดชีวิตก็สามารถพัฒนาด้วยเทคโนโลยี ให้กลายมาเป็นสารที่เติมแต่งความงามให้กับคน แล้วทำไมสารมหัศจรรย์อย่าง “โบท็อกซ์” และ “ฟิลเลอร์ คร่าชีวิตผู้ที่อยากสวยอยากงามกลับคืนบ้างไม่ได้

โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือที่รู้จักกันในนามโบท็อกซ์นั้น เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียมโบทูลินั่ม ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลายความตึงตัว ผู้ที่นิยมความงามมักใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและลำคอ บางส่วนก็ฉีดเพื่อให้หน้าเรียวตามกระแสแฟชั่นเกาหลี หรือใช้ฉีดเพื่อลดภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และรักแร้

“ในระยะยาวสารโบท็อกซ์อาจทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับการเคี้ยวและการสบฟันมีปัญหาได้ จากข้อมูลพบด้วยว่าผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์ร้อยทั้งร้อยเกิดภาวะเคี้ยวยาก ขณะที่สหรัฐระบุวิธีการใช้โบท็อกซ์ไว้อย่างชัดเจนว่า อนุญาตให้ใช้เฉพาะการลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากเท่านั้น ส่วนการนำมาใช้ให้หน้าเรียวเป็นการใช้แบบพลิกแพลง และไม่มีการรับรองผลว่าปลอดภัย ฉะนั้นผู้ที่คิดใช้ต้องตรองดูให้ดี เพราะการใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ในปริมาณมากอาจทำให้เสียชีวิตได้ เพราะฤทธิ์โบท็อกซ์จะไปคลายกล้ามเนื้อหัวใจให้หยุดทำงาน ขอเสนอวิธีการง่าย ๆ ใครอยากมีรูปหน้าเรียวหรือเกิดการบานเหลี่ยมน้อยที่สุด ต้องหยุดพฤติกรรมการเคี้ยวของที่มีความหนืด เช่น ข้าวเหนียว หมากฝรั่ง”

ด้านสารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ก็มีอันตรายต่อชีวิตไม่ด้อยไปกว่ากัน นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รอง ผอ.สถาบันโรคผิวหนังระบุว่า คนเราพออายุ 20 ปีขึ้นไป การสร้างคอลลาเจนของผิวจะลดลงแต่การทำลายยังมีอยู่ต่อไป ทำให้เกิดภาวะผิวเหี่ยวเป็นรอยย่น จึงมีการคิดค้นนำสารเติมเต็มจากภายนอกใส่เข้าไปแทน ซึ่งในปัจจุบันมีสารฟิลเลอร์อยู่ 3 แบบ คือ…   

1.แบบชั่วคราว อายุการใช้งาน 4-6 เดือน มีความปลอดภัยสูงแต่มีราคาสูงเช่นกัน เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติย่อยสลายเองได้            

2.แบบกึ่งถาวร แบบนี้มีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี ความปลอดภัยอยู่ในระดับปานกลาง             

3.แบบถาวร เช่น ซิลิโคน หรือพาราฟิน แบบนี้มักพบผลข้างเคียงระยะยาวเพราะฉีดแล้วจะอยู่ในผิวตลอดไป “เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการเข้ารับบริการในสถานบริการที่ไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ควรสอบถามข้อมูลให้กระจ่างทุกครั้งที่เข้ารับบริการ 

ขอบคุณที่มา women.kapook.com

เรื่องน่าสนใจ