ที่มา: tnnthailand

ดีเอสไอเตรียมทำหนังสือแจ้ง“สมเด็จช่วง” รับผลการตรวจสอบรถหรู ซึ่งมีมูลกระทำผิดกฎหมายกว่า 10 ข้อหา

03b583

วันนี้(19 ก.พ.59) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสอบสวนรถยนต์เบนซ์คลาสสิก ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญและผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีมูลกระทำผิดกฎหมายกว่า 10 ข้อหา

ล่าสุด พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมทำหนังสือแจ้งให้สมเด็จช่วงรับทราบผลการตรวจสอบและส่งมอบรถเป็นของกลางในคดี โดยจะไปสอบสวนในรายละเอียดอีกครั้งว่าจัดซื้อจากไหน ราคาเท่าไหร่ เอกสารการจัดซื้อมีหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้ดีเอสไอจะประชุมคณะพนักงานสอบสวน เพื่อนัดหมายการเข้าสอบปากคำที่วัดตามขั้นตอน เนื่องจากปรากฏลายมือชื่อเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว ส่วนวันเวลานัดต้องดูความเหมาะสมอีกครั้ง

ด้านนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำฯระบุว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ทราบเรื่องที่ดีเอสไอแถลงแล้ว แต่ยังไม่ได้สั่งการใดๆพร้อมยืนยันว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ในฐานะผู้ครอบครองรถยนต์โบราณ ไม่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีกระบวนการนำเข้าและจดประกอบอย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากได้ว่าจ้างให้อู่วิชาญประกอบรถในราคาเหมาจ่ายเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท แบ่งจ่ายออกเป็น 3 งวด โดยงวดสุดท้ายตกลงกับทางอู่ว่าจะจ่ายเมื่อรถซ่อมเสร็จและได้เล่มทะเบียนรถแล้ว ส่วนกระบวนการนำเข้าหรือซ่อมแซมรถไม่ทราบเพราะอู่เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด

ขณะที่ซอยเพชรเกษม 114 ที่ตั้งของอู่วิชาญ ที่ดีเอสไอระบุว่าเป็นอู่ที่ประกอบรถยนต์คันดังกล่าว พบรถโบราณที่อยู่ระหว่างการซ่อมแซมหลายคัน ส่วนนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่ยอมรับว่าไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม แต่ทำธุรกิจซ่อมแซมรถโบราณ

โดยต้นปี2554 ได้รับการติดต่อจากพระมหาศาสนะมุณี หรือ หลวงพี่แป๊ะ เลขาฯสมเด็จช่วง ให้ประกอบรถเมอซิเดสเบนซ์คันที่มีปัญหา เพื่อถวายสมเด็จช่วงซึ่งมีชิ้นส่วนมาให้ประกอบแต่ยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับขั้นตอนการจดประกอบรถคันนี้ เพราะก่อนหน้านี้เคยได้รับการว่าจ้างประกอบรถโบรารอีก2คันที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำภาษีเจริญ แต่ไม่ใช่รถยนต์นำเข้า

นอกจากนี้กรรมการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยวิธีการของนักธุรกิจที่นำเข้ารถจดประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อลดหย่อนภาษี รวมถึงการสำแดงต่อเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นรถติดแก๊ส เพื่อให้ธุรกิจมีผลกำไรมากที่สุด

ทั้งนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร จะตั้งคณะกรรมการเรียกเก็บอากรแยกตามพิกัดนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ ที่มีอัตราภาษีตั้งแต่ร้อยละ 30-50 พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม แต่หากแยกชิ้นส่วนเข้ามาทั้งคันและนำมาประกอบในไทยจะถือเป็นการนำเข้ารถยนต์ทั้งคัน ต้องประเมินภาษีใหม่ในอัตราร้อยละ 200-300 โดยจะติดตามเงินภาษีกลับคืนมา แต่ไม่มีอำนาจยึดรถยนต์ได้

เรื่องน่าสนใจ