สนามบินนานาชาติ “ชูบุเซ็นแทร์” นาโกยา ได้รับการปรับโฉมให้ทันสมัย ด้วยบริการ ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านออนเซ็น ซึ่งที่ญี่ปุ่นมีแค่ 2 สนามบินเท่านั้นที่มีบริการออนเซ็น คือ นาโกยา กับ ซัปโปโร ขนาดโตเกียว กับ โอซากา ว่าเป็นเมืองใหญ่แล้วก็ยังไม่มีบริการแบบนี้ แถมที่นี่ยังมี Sky Town สำหรับชมเครื่องบินขึ้นลง และพระอาทิตย์ตกด้วย ได้อารมณ์ชิลๆไปอีกแบบ
สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นตอนกลางโดยเฉพาะเขตจังหวัดไอจิ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไม่พลาดในการเข้าไปเที่ยวชม ชิราคาวะโกะ (Shirakawago) หมู่บ้านมรดกโลกอายุกว่า 300 ปี ที่ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเขตนี้ ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะเวียนมาเยือนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
บ้านและถนนในหมู่บ้านชิราคาวะโกะ.
มาซาฮิโตะ บอกว่า บ้านหลังนี้เป็นสถานที่ทำงานของคุณพ่อของคุณทวดของเขาคือ เยมอน วาดะ ชิซูเอะ มาก่อน ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยเขาเป็นผู้ดูแลและบริหารจัดการ บ้านทุกหลังในชิราคาวะโกะมีเอกลักษณ์เหมือนกัน คือ สร้างด้วยไม้และมุงหลังคาด้วยฟาง โดยประมาณ 30-50 ปีจะเปลี่ยนหลังคาครั้งหนึ่ง สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะพักค้างคืนในหมู่บ้านชิราคาวะโกะ ที่นี่มีโฮมสเตย์ให้บริการอยู่ 10 หลัง สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ชิราคาวะโกะ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์การท่องเที่ยวของหมู่บ้านก็ได้
สะพานทางเข้าหมู่บ้านชิราคาวะโกะ
เราออกจากชิราคาวะโกะ ย้อนลงมาที่เมือง Gero เพื่อพักค้างคืนที่ Gero Onsen ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของสถานที่ออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยน้ำแร่ธรรมชาติที่ไหลมาจากแม่น้ำ Gero ถือเป็นน้ำแร่ที่บริสุทธิ์ เจ้าของโรงแรม Gero Onsen เป็นนายกเทศมนตรี วันที่พวกเราไปถึง เขากล่าวเชื้อเชิญให้ทุกคนใช้บริการออนเซ็นของที่นี่
“ผมเชื่อว่า ถ้าพวกคุณได้ออนเซ็นที่เกโระ กลับไปเมืองไทยคุณจะเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นอีก 10 ปี”
เอาละสิ…คราวนี้ อยากสวยอยากสาวกันทุกคน ปัญหาอยู่ที่ว่าไม่กล้าลงออนเซ็นพร้อมๆกัน เพราะออนเซ็นที่ญี่ปุ่นเป็นที่รู้กันว่า กฎข้อแรก คือ เปลื้องหมดจด…อะจึ๋ย!! แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนทุกคนจะจัดสรรเวลากันได้ลงตัวไม่มีใครเห็นของใคร นอกจากเห็นของป้าๆชาวญี่ปุ่นที่เดินอาดๆแก้ผ้าในห้องออนเซ็นแบบเป็นปกติธรรมชาติ
เจ้าหน้าที่หนุ่มจากเมือง Gero บอกว่า คนทั่วไปมักคิดว่า Gero เป็นเมืองที่มีกบมาก เพราะเข้าใจว่า Gero คือ เคโระ เจ้ากบตัวเขียวในการ์ตูน แต่จริงๆแล้ว คำว่า “เก” (Ge) แปลว่า ท้ายหรือปลายสุดของแม่น้ำ ส่วน “โระ” (Ro) แปลว่า อยู่ “เกโระ” จึงมีความหมายว่า เมืองที่อยู่ปลายสุดของแม่น้ำนั่นเอง
หมู่บ้านกาสโชในอ้อมกอดของขุนเขา.
วันรุ่งขึ้น เรามีนัดหมายไปชมหมู่บ้าน “กาสโช” หรือ GASSHO ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของนาโกยา ถ้าขับรถมาจากนาโกยาจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ใกล้กว่าชิราคาวะโกะ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์นานถึง 4 ชั่วโมงจากนาโกยา
หมู่บ้านกาสโช กำลังได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกโลก เป็นหมู่บ้านในยุคใกล้ๆ กับชิราคาวะโกะ มีอายุประมาณ 182 ปี บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านแห่งนี้มีลักษณะหลังคาจั่วเหมือนลักษณะของการไหว้ เป็นที่มาของคำศัพท์ว่า “กาสโช” ซึ่งแปลว่า การไหว้ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง
กาสโช เป็นหมู่บ้านเล็กๆโอบล้อมด้วยภูเขา มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องการทำกระดาษสา ส่วน ชิราคาวะโกะ ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้า ภายในหมู่บ้านมีตู้ไปรษณีย์โบราณที่ยังใช้งานอยู่ เช่นเดียวกับตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบเก่าที่ยังใช้งานได้อยู่ แว่บหนึ่ง….คิดเล่นๆว่า ญี่ปุ่น ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆส่งขายไปทั่วโลก แต่ในอีกด้านกลับยังคงรักษาสิ่งเก่าๆของตนเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและแข็งแรง
จากกาสโช เรามุ่งหน้าสู่ ทาคายามา จินยะ หรือสำนักงานรัฐบาลสมัยเอโดะ เป็นอาคารแห่งเดียวที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของญี่ปุ่น
ทาคายามา จินยะ จัดเป็นสำนักงานด้านการปกครองที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เป็นสำนักงานที่ทำหน้าที่ทั้งเก็บภาษี ตัดสินคดีความ พิทักษ์สันติราษฎร์ บริหารจัดการป่าไม้ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลัง แม้แต่ห้องเก็บกระสอบฟางข้าวก็ถูกจัดแสดงให้เห็นถึงการจัดเก็บภาษีข้าวในสมัยก่อน
ออกจากทาคายามา จินยะ เห็นอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ด้านหน้า เจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวเมืองทาคายามา บอกว่า เป็นอนุสาวรีย์ของ ยามาโอเกะ เทซึ ซึ่งเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมากในการรักษาผู้คนสมัยสงคราม
เหล้าสาเก…โบราณ.
จากอนุสาวรีย์เดินมาตามถนนเล็กๆในเมืองทาคายามา บอกได้เลยว่าฟินสุดๆ อารมณ์เมืองเก่าที่มีร้านขายสาเก และเหล้าโอเมชุ หรือเหล้าบ๊วยประจำท้องถิ่น เรียงรายตลอดทาง เดินเพลินๆชิมสาเกไป โอเมชุไป กว่าจะถึงสุดปลายถนนก็มึนๆได้ที่อยู่เหมือนกัน
คนย่างเนื้อ…ย่างไม่ทันเลยทีเดียว.
ใครที่ไปเที่ยวทาคายามา และเป็นนักเปิบเนื้อย่างไม่ควรพลาด ร้านเนื้อย่างขึ้นชื่อ “คาโดะกูวะ” ตั้งอยู่หัวมุมถนน สาวๆหนุ่มๆในกลุ่มของเราหลายคน ลิ้มรสเนื้อย่างเมืองทาคายามาแล้วบอกว่า อร่อยสุดๆ เนื้อนุ่ม หวาน แถมยังไม่มีกลิ่นคาวของเนื้อ
เหล้าบ๊วย…หรือโอเมชุเลิศรสของเมืองทาคายามา.
บางคนถึงกับหยิบโอเมชุที่ตั้งใจซื้อฝากคนทางเมืองไทยออกมาจิบบางๆเบาๆ เคล้ากับรสชาติและกลิ่นของเนื้อย่าง…ร้อนๆหอมๆ งานนี้ให้เอาเนื้อมัตสึสุกะ หรือเนื้อม้าบะซาชิ…ที่ว่าเลิศที่สุดของญี่ปุ่นมาแลกก็ไม่ยอม……!!!