เนื้อหาโดย Dodeden.com

health.mthai.com

เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “หมอแมะ” กันมาบ้าง หรือบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินเลย คำศัพท์เฉพาะนี้มีความหมายอย่างไร? สำคัญอย่างไร? เกี่ยวข้องอย่างไรกับศาสตร์แพทย์แผนจีนกันนะ มาลองหาคำตอบกันค่ะ

 

คำว่า “แมะ” ที่เรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยครั้งในการตรวจของหมอจีนนั้น คือการจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยโรคและกลุ่มอาการที่เป็นอยู่ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งการตรวจชีพจรด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถรู้ได้เลยว่า ณ ตอนนั้น อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายกำลังทำงานอย่างไม่ปกติ จะได้ดูแลตัวเองได้ก่อนที่จะมีอาการหนักตามมา

saintlouis.or.th

 

ซึ่งการแมะที่ว่านี้ แพทย์จะอาศัยความรู้สึกหลังจากที่สัมผัสร่างกายของคนไข้ ซึ่งชีพจรในแต่ละตำแหน่งของร่างกายก็จะแตกต่างกันออกไป โดยการวางนิ้วมือทั้งสามนิ้ว ก็คือนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ตรงบริเวณใต้ข้อมือของนิ้วโป้ง ซึ่งแขนแต่ละข้างก็จะบ่งบอกถึงอวัยวะภายในที่แตกต่างกันออกไป อย่างแขนข้างขวา ก็จะตรวจในเรื่องของปอด ม้าม ไต ส่วนแขนซ้าย ก็จะตรวจในเรื่องของหัวใจ และตับค่ะ

เมื่อคุณหมอทำการวางนิ้วทั้งสามลงบนแขนเเล้ว ก็จะเริ่มตรวจชีพจรภายในร่างกายว่ามีความปกติหรือไม่ เช่น ชีพจรลอยหรือจม จังหวะการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอหรือไม่ หัวใจเต้นแรงหรืออ่อนเกินปกติ ซึ่งในส่วนนี้คุณหมอก็จะต้องพิจารณาจากอายุ เพศ ช่วงฤดูกาล ลักษณะรูปร่างของคนไข้เองด้วยว่าอ้วนหรือผอม  สำหรับคนที่ถูกจับชีพจรเเล้วพบว่า ชีพจรลอย กล่าวคือเวลากดลงไปจะจมลงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เเล้วมักจะพบว่ามีไข้หวัด  ส่วนคนที่มีชีพจรจม เวลากดลงไปจะรู้สึกว่าเส้นชีพจรตึงๆ คนในกลุ่มนี้มักจะตรวจพบว่ามีปัญหาเรื่องตับ มีความเครียด ความดันสูง ตับหรือไตมีความบกพร่อง

health.mthai.com

เพราะฉะนั้น การแมะ ก็คือการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคและกลุ่มอาการเท่านั้น หากต้องการความแม่นยำที่เพิ่มมากขึ้น คุณหมอจะต้องทำการซักประวัติ มองร่างกายภายนอกอย่างคร่าวๆ ว่าจัดอยู่ในกลุ่มคนที่มีอาการเสี่ยงหรือไม่ ฟังชีพจร เพื่อมองภาพในองค์รวม และวิเคราะห์กลไกในการเกิดโรค จากนั้นคุณหมอจึงจะทำการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมให้ได้

 

 

เรื่องน่าสนใจ