หน้าขาวใสด้วย AHA

10313886_s

ปัจจุบันนี้มีโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวหน้าของเรามากมาย เพื่อให้หน้าตาสดใสไม่หมองคล้ำกันอยู่บ่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดไหน ให้เหมาะสมและปลอดภัยกับตัวของเราเอง  ซึ่งมีข้อแนะนำดีๆเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ทำให้หน้าตาสดใสไม่หมองคล้ำไม่ว่าจะเป็น AHA, BHA กรดผลไม้และอื่นๆอีกมากมาย

กรดผลไม้หรือ AHA ซึ่งหลายคนก็คงเคยได้ยินกันมาเคยได้ใช้เองบ้าง บางท่านก็ไปรักษาทำทรีทเม้นท์ เรื่องของ AHA ไม่ว่าจะเป็นคลินิกหรือตามสถาบันเสริมสวยความงามทั่วไปซึ่งหลายคนคงเคยได้ยิน จึ งมีข้อแนะนำดีๆเกี่ยวกับกรดผลไม้ว่ามีกี่แบบและแต่ละแบบมีการใช้งานในรูปแบบใด ใช้อย่างไรบ้างและประโยชน์แต่ละชนิดในด้านใดบ้าง
AHA ย่อมาจาก  Alpha Hydroxy Acids เป็นลักษณะของกรดที่มาจากผลไม้ อาจจะสกัดมาจากหลายวิธีการ เช่น สกัดมาจากส้มหรืออ้อย AHA เรียกได้ว่าเป็นกลไกทางเคมี แต่นอกจาก AHA ก็ยังมีอีกชนิดที่คล้ายกันคือ 
 AHA เป็นชนิดที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ความแตกต่างของการใช้งานขึ้นอยู่กับเปอร์เซนต์การใช้งาน ในกรณีที่เราใช้ AHA ในปริมาณที่ไม่สูง เช่น  5% – 10% ถ้าใช้ในระดับไม่สูง AHA เราสามารถนำมาใช้ผลัดเซลล์ผิวและใช้ได้ทุกวัน แต่ถ้าเป็น AHA ที่มีค่าสูงขึ้น ประมาณ 20 – 50% ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะใช้ในคลินิกผิวพรรณ คลินิกผิวหนังหรือคลินิกความงามทั่วไปเพราะต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ เมื่อค่า AHA สูงผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็อาจสูงด้วย

ประโยชน์ของ AHA

คือการ ผลัดเซลล์ผิว เร่ง กระตุ้นการผลัดเซลล์ของผิวหนัง
-ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น ขาวใส
-ฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง
-หลุมสิวตื้นขึ้น
-แผลเป็นนูนราบลง
-ลดริ้วรอยก่อนวัย

ข้อควรระวังในการใช้ AHA

หลังจากทำทรีทเม้นท์ AHA ให้งดการใช้ครีมทุกชนิด 1 วันหลังจากทำการรักษา ควรล้างหน้าด้วยโฟมหรือสบู่อ่อนๆ หรือจะเป็นน้ำสะอาด น้ำเปล่าก็ได้ งดการออกไปเจอแสงแดดที่ค่อนข้างแรง หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดประมาณ 2-3 วันหลังจากทำทรีทเม้นท์ สำหรับบางท่านที่ผิวหนังค่อนข้างบอบบางหรือแพ้ระคายเคืองง่าย  อาจจะมีขุยหรือผิวลอกได้ 3-5 วันหลังจากทำทรีทเม้นท์ก็ไม่ควรแกะผิวที่ลอกด้วยตัวเอง  ให้ใช้ครีมบำรุงเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก้ไขเรื่องผิวส่วนที่ลอก แต่ถ้าท่านใดที่ใช้ AHA  กรดผลไม้แล้วเกิดการระคายเคือง แสบคัน ผิวลอกหรือมีปัยกาที่แตกต่างที่นอกเหนือจากนี้และรู้สึกไม่สบายใจ ก็แนะนำให้รีบไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง คลินิกผิวพรรณที่ท่านไว้ใจ ดังนั้นอย่างลืมดูแลผิวหน้า ผิวพรรณให้สว่างสดใส

ผลไม้ที่มี AHA สูง

มะขามเปียกสมุนไพรที่มี AHA หรือมีกรดผลไม้ตัวแรกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากก็คือ มะขามเปียก ซึ่งจะคั้ยเอาน้ำ แล้วก็มีเนื้อปนมาด้วย สำหรับคนผิวมัน เวลาใช้มะขามเปียกก็จะใช้แบบล้างหน้าใช้ถูแทนสบู่หรือถ้าล้างหน้าด้วยสบู่ก่อนก็ได้ สบู่ซึ่งเป็นด่าง เราก็จะใช้กรดจากผลไม้ เพื่อสะเทินสภาพผิว คือผิวของคนเรามี pH 5.5 มันไม่ดี อันนี้ไม่จริง เพราะถ้าผิวเราไม่ได้รับการกระตุ้นให้สะเทินหรือปรับสภาพบ่อย ๆ มันจะไม่ทำงาน ความยืดหยุ่นจะมีน้อยลง ฉะนั้น คนที่มี pH 5.5 น่าจะเป็นคนที่ผิวปรับสภาพได้น้อย หรือปรับช้ากว่าคนอื่น ได้แก่ คนที่ผิวแห้ง หรือคนที่ผิวแพ้ง่าย ซึ่ง pH 5.5 ไม่มีความจำเป็นสำหรับคนผิวหน้ามัน

หลังจากที่เราใช้สบู่ล้างหน้า แล้วก็จะใช้มะขามเป็นการปรับสภาพผิว เราจะใช้ทาไม่นานคือทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วก็ล้างออกเลย ในกรณีที่เราไม่ใช้สบู่เราก็ใช้มะขามเปียกที่คั้นเอาน้ำปนเนื้อมาทาหรือถูนวดเลยแล้วทิ้งเอาไว้ได้นาน สมุนไพรพวกนี้เป็นพวกกินก็ได้ ทาก็ได้ ถ้าจะให้ดี ควรทำเองอย่าไปซื้อก็จะปลอดภัยไม่ต้องระวังว่าเขาจะใช้ยากันบูดหรือไม่ราขึ้นหรือยัง

ดังนั้นการใช้มะขามเปียกจะใช้ได้ 2 แบบ คือ ใช้เพื่อปรับสภาพผิว และใช้ล้างหน้า ไม่ควรใช้กับคนผิวแห้ง แต่ถ้าคนผิวแห้งต้องการใช้มะขามเปียกก็ทำได้ ให้ใส่นมเข้าไป เพราะว่านมจะมีโปรตีนและไขมัน โปรตีนและไขมันจะไม่ทำให้ผิวหนังแห้ง นมที่ใช้กันเป็นนมจืด หรือถ้าผิวแห้งมากก็ให้ใส่น้ำผึ้งเข้าไปด้วย น้ำผึ้งนอกจากจะให้น้ำตาลที่ให้ความชื้นแล้วก็ยังมีวิตามิน มีวิตามินบี ซึ่งมีผลดีต่อผิวหน้า ถ้าคนผิวมันให้ใช้มะขามเปียก 3 ส่วน ใช้นม 1 ส่วน ใช้น้ำผึ้ง 1 ส่วน ถ้าคนผิวแห้งก็ใช้สัดส่วนกลับกัน มะขามเปียกต้องลดลงแล้วไปเน้นน้ำผึ้งกับนม

มะเฟือง

มะเฟืองจะมีกรดอ่อน อ่อนกว่ามะนาว อ่อนกว่ามะขามมาก ก็จะช่วยให้การปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น คนที่ผิวมันอาจจะใช้มะเฟืองแบะไว้ได้นาน คนที่ผิวแห้ง ก็แปะไว้ได้ไม่นานระยะเวลาในการใช้ให้สังเกตว่า พอเริ่มใช้แล้วมีอาการคันยิบ ๆ แปลว่านานเกินไปให้ลดเวลาลง เช่น ครั้งแรกใช้นาน 10 นาที มีอาการคัน คราวต่อไปควรจะเหลือ 8 นาทีหรือ 6 นาที ไม่ต้องรอให้เกิดอาการคัน

สับปะรด

สับปะรด จะเหมาะสำหรับผิวที่ตายแล้ว โปรตีนที่ตายแล้วหลังจากที่เราไปเผชิญอะไรมาทั้งวัน เราก็ควรจะใช้สับปะรด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อเราไปท่องเที่ยวมา ไม่ค่อยได้ดูแลทำความสะอาดผิวหน้า วิธีใช้เวลาเลือก ให้เลือกสับปะรดพันธุ์ศรีราชา ไม่ควรคั้นน้ำสับปะรด แล้วทาทันที จะทำให้แสบ การใช้ควรจะเติมน้ำและกรีเซอรีนลงไปมาก ๆ สับปะรด 1 ช้อน ควรใช้กรีเซอรีน 2 ช้อน และน้ำอีก 3 ส่วน แล้วจึงทา ทาทิ้งไว้แล้วก็ล้างออก พวกกรดผลไม้ต้องล้างออกให้หมด

มะนาว

มะนาวใช้แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ น้ำ 1 แก้ว ใช้มะนาวแค่ 5-6 หยดก็พอ เพราะความเป็นกรดในน้ำมะนาวมีสูงมาก ถ้าใช้เข้มข้นมันจะทำให้เกิดริ้วรอยได้เร็ว แล้วก็เกิดอาการเหี่ยวย่นได้ง่าย น้ำมะนาวนี้แนะนำให้เป็นตัวเลือกสุดท้ายที่จะใช้ให้น้ำมะนาวหยดลงไปเล็กน้อย พอแค่มีรส สังเกตว่าถ้ามันมีรสเปรี้ยวนิด ๆ ก็ใช้ได้แล้ว แล้วก็ใช้ทาหน้า แล้วก็ล้างออก

นอกจากนั้นน้ำมะนาวผสมน้ำมันมะกอก ทำเป็นคลีนเซอร์ (clean ser) สำหรับคนหน้ามันถึงหน้าธรรมดา ใช้ได้คือใช้น้ำมะนาวให้ผสมน้ำประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาน้ำมะนาวเจือจางนั้นมาผสมกับน้ำมันมะกอก แต่น้ำกับน้ำมันมันไม่เข้ากัน ต้องคนตีแรง ๆ เร็ว ๆ แล้วก็เติมไข่แดงลงไป 1 ช้อน ไข่แดงสด ที่เติมลงไปมันจะเป็นตัวที่ทำให้น้ำกับน้ำมันมันเข้ากันได้ แล้วก็เอาไปทาหน้าแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ๆ

สำหรับคนที่ผิวมันที่ไม่เหมาะที่จะใช้ไข่แดงหรือน้ำมันมะกอก อาจให้ใช้เกร็ดสบู่ หรือถ้าไม่มีก็ให้ใช้สบู่ที่ใช้ในบ้านนั่นเอง ซึ่งจะเป็นสบู่เหลว หรือสบู่ก้อนก็ได้ตัดออกมานิดหน่อย แล้วก็มาตีให้เข้ากับน้ำมะนาวเจือจาง แล้วใช้ทา ทาแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ๆ ล้างน้ำอุ่นเสร็จแล้วตามด้วยน้ำเย็น

ความจริงเราพบว่าการใช้น้ำอุ่นล้างหน้าแล้วไม่ประคบด้วยน้ำเย็น จะทำให้หน้าเหี่ยวเร็วแก่เร็ว เวลาที่เราใช้น้ำอุ่น รูขุมขนมันจะขยาย มันมีข้อดีตรงที่ว่าไขมันที่มันค้างอยู่ข้างในจะออกมา โอกาสที่เป็นสิวจะน้อยลง เมื่อรูขุมขนขยายแล้วต้องรีบกระชับกลับด้วยน้ำเย็นจัด ๆ อีกทีหนึ่งมันก็จะทำให้สภาพผิวไม่เปลี่ยน

เรียบเรียง : www.dodeden.com

Credit : www.thaikasetsart.com,health.dmc.tv

เรื่องน่าสนใจ