ที่มา: ข่าวสด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบการแชร์ภาพในโซเชียล โดยเป็นภาพจากแพทย์หญิงคนหนึ่งที่นำหลอดเลือดของผู้ป่วยมาลง ซึ่งลักษณะเลือดมีสีจางกว่าปกติ พร้อมข้อความว่า “คนไข้เลือดสีชมพู สาเหตุมาจากกินยาดีท็อก มารพ.ด้วยอาการปวดท้อง มีอาการแทรกซ้อนหลายอย่างจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ” จากนั้นไม่นานก็ได้โพสต์ข้อความว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้เสียชีวิตลงแล้ว

14562957861456295832l

ทั้งนี้ ยังมีการเผยแพร่ภาพของยาที่ผู้ป่วยรับประทานเข้าไป เขียนบนซองว่า เป็นสมุนไพรดีท็อก ระบุคุณสมบัติ ว่า ช่วยขับเมือกมัน และไขมันส่วนเกินในร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้รูปร่างสมส่วน ช่วยลดไขมันหน้าท้อง ไขมันพอกตับ ขับสารพิษต่างๆ ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก ใน 1 แคปซูลมีส่วนประกอบของสารสกัดจากฟักทอง มะขามแขก พริกไทยดำ สมอไทย เบญจกุลทั้ง 5 เทียนขาว เทียนดำ มหาหิง โกฐเขมา และสมุนไพรอื่นๆ”

1456295871_12516289_10208335299558417_1348650568_n

โดยเพจ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ได้นำเรื่องดังกล่าวมาแชร์ พร้อมโพสต์ข้อความว่า

“อยากผอมจนตับพังไหมล่ะคุณ???” มีผู้ป่วยอาการหนักมาอีกแล้วครับ มีคนส่งมาให้ดู สาเหตุเดิมๆ กินยาลดความอ้วน!!! ผู้ป่วยได้ถือสิ่งที่กินเข้าไปมาด้วย ชื่อว่า “ดีท๊อก…” มีสรรพคุณ ขับเมือกไขมัน (คนหรือปลาไหลว้า? มีเมือกดั้ว) ลดไขมันส่วนเกิน ช่วยให้รูปร่างสมส่วน ลดไขมันพอกตับ ขจัดสารพิษ ไม่รู้ว่ามีเครื่องหมายอาหย่อยรับรองรึเปล่า

พวกยาลดความอ้วนพวกนี้ ถ้าพบคำว่า มะขามแขก นั่นมันคือยาระบายครับ ทำให้เราถ่ายท้อง ควรปรึกษาหมอ กินไปมากๆไม่ดีนะครับ เสียน้ำเสียเกลือแร่จนหมดเรี่ยวหมดแรง ระบบขับถ่ายเสียหมด แม้ว่าชื่อจะดูเป็นมิตรด้วยการเขียนคำว่าสมุนไพรเติมลงไป แต่เราไม่อาจรู้ว่ามันมีสารอันตรายอะไรบ้างที่ส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว เห็นที่ผมวงกลมในภาพไหมครับ เลือดเป็นสีขาวขุ่น นั่นคือไขมันในเลือดสูง คาดว่าตับน่าจะมีปัญหาหรือตับพังนั่นเอง”

เบื้องต้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเรื่องดังกล่าวไปตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือขึ้นทะเบียนเป็นยา ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบแหล่งผลิต ทั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นสมุนไพรก็จะต้องมีการบอกส่วนผสม สถานที่ผลิตอย่างชัดเจน และหากใช้รักษาก็ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา และระบุฉลากอย่างชัดเจนว่ามีส่วนผสมบอกปริมาณที่ชัดเจน

โดย นพ.ธานินทร์ อินทรกำธรชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา และหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ว่า ภาวะเลือดเป็นสีชมพูดังกล่าวสาเหตุน่าเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตก แต่ในเรื่องนี้ทางการแพทย์ยังไม่เคยพบหลักฐานว่าสมุนไพรเป็นสาเหตุในการทำให้เม็ดเลือดแดงแตก มีแต่การรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดบางชนิด ยารักษาโรคความดัน และยารักษาโรคหัวใจ รวมถึงยาหรืออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารกลูตาไธโอน

1456295995_12782413_10208335300238434_1150988962_n

หากรับประทานในปริมาณมาก และยาวนานอาจจะมีผลทำให้ตัวคุ้มครองเม็ดเลือดแดงไม่แข็งแรงจนเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่าย ซึ่งจะสามารถเห็นขั้นตอนนี้ได้เมื่อมีการนำเลือดไปปั่นเพื่อแยกพลาสมาดู และวินิจฉัยเพื่อการรักษาโรค แต่กลับพบว่าพบพลาสมากลายเป็นสีชมพู ทั้งๆ ที่ปกติควรจะเป็นสีใส หรือสีขาว

สำหรับผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจะมีสัญญาณเตือนแสดงออกมาเช่น เหนื่อยง่าย เดินไม่ไหว คล้ายจะเป็นลม ถ้าปกติแล้วในผู้หญิงจะมีระดับฮีโมโกลบินอยู่ที่ประมาณ 12 ต่อกรัมเปอร์เซ็น หากลดลงต่ำกว่านี้ราว 7-8 กรัมเปอร์เซ็น ก็จะทำให้เกิดอาการดังกล่าว แต่เมื่อมีการหยุดยาที่จะไปเป็นตัวทำลายเม็ดเลือดแดง อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองภายใน 5-7 วัน ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เว้นแต่ว่าจะมีอาการหนักให้รีบไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการรุนแรงขึ้นขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลจะพบได้น้อยมากเฉลี่ย 1 รายต่อปี ซึ่งไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต

เรื่องน่าสนใจ