ที่มา: samitivejhospitals.com

เจาะลึกสารกันแดด ยุค 4.0 และ Tips ในการเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดแบบครอบคลุม หากย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ไม่ค่อยมีความหลากหลายในการตอบโจทย์ปัญหาผิวเท่าไหร่นัก ซ้ำยังพบปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF สูงๆ หลังทาจะรู้สึกเหนียว เหนอะหนะ ทำให้ผิวมัน เกิดสิวตามมา สารกันแดดชนิดสะท้อนหรือหักเหแสง (Physical Sunscreen) ทำให้สีผิวหน้าลอยขาวหรือหน้าวอก 

 

เจาะลึกสารกันแดด

 

อีกทั้งสารกันแดดรุ่นเก่า ยังไม่มีความเสถียรพอที่จะปกป้องรังสียูวีได้ยาวนาน ปัญหาฝ้า กระ รอยดำ จึงไม่ลดลง แม้จะทาไปในปริมาณมาก และสม่ำเสมอ ในปัจจุบัน นับเป็นความโชคดีที่ได้มีการพัฒนา และปรับปรุงแก้ปัญหาของผลิตภัณฑ์กันแดดที่ผ่านมา จนเริ่มเป็นที่ยอมรับ และใช้กันแพร่หลายมากขึ้น มาลองอัพเดท 3 Tips การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดแบบครอบคลุม และเจาะลึกกันค่ะ

 

เจาะลึกสารกันแดด ยุค 4.0 

ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ดี ควรปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA-I, UVA-II และ UVB เพราะแสงยูวีที่จะก่ออันตรายต่อผิวหนัง จะประกอบด้วยรังสี UVA I และ UVA II มีอำนาจทะลุทะลวงสูงเข้าสู่ชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดการทำลายคอลลาเจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรอยย่น ความหย่อนคล้อย กระ และมะเร็งผิวหนัง โดยที่รังสี UVA I หรือ Long UVA มีอำนาจทะลุทะลวงสูงที่สุด ส่วนรังสี UVB มีอำนาจทะลุทะลวงผิวหนังน้อยกว่า จึงเข้าสู่ชั้นหนังกำพร้าทำให้เกิดฝ้า ผิวคล้ำ ผิวไหม้จากแดด (sunburn )

 

เจาะลึกสารกันแดด
ภาพจาก premacare

 

Sunscreen
หรือสารกันแดดที่ผสมในผลิตภัณฑ์ แบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามคุณสมบัติคือ

  • Physical Sunscreen สารกันแดดแบบฟิสิคัล
    ทำหน้าที่เหมือนเป็นกระจกเงาสะท้อน หรือหักเหรังสี UV ออกไปจากผิว สารในกลุ่มนี้ มีอยู่สองตัวคือ Titanium Dioxide และ Zinc Oxide (ปกป้องผิวจากรังสี UVA-I,UVA-II,UVB ได้)
  • Chemical Sunscreen สารกันแดดแบบเคมีคัล
    ทำหน้าที่ดูดซับรังสี ไม่ให้ทะลุผ่านไปยังผิวหนังได้ เป็นสารกันแดดที่พบได้ทั่วไป (ปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ทุกตัว แต่การปกป้องจากรังสี UVA-I, UVA-II แตกต่างกันไป)
  • Hybrid Sunscreen สารกันแดดแบบผสม
    มีคุณสมบัติทั้งสะท้อน และดูดซับรังสีในตัวเอง เช่น Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol หรือ Tinosorb M (ปกป้องผิวจากรังสี UVA-I,UVA-II, UVB ได้)

 

เจาะลึกสารกันแดด

 

Sunscreen หรือสารกันแดดทุกตัว
สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ทุกตัว แต่จะป้องกันรังสี UVA-I และ UVA-II ได้ครบหรือไม่นั้น นอกจากคำชวนเชื่อที่ผลิตภัณฑ์อ้างที่ตัวบรรจุภัณฑ์ เราสามารถดูสารกันแดดที่ปกป้องได้ครบถ้วน ว่าสารเหล่านี้มีในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้หรือไม่

สารที่ป้องกันผิวจากรังสี UVA
ได้ครบทั้ง UVA-I ,UVA-II และ UVB
ก็คือ Titanium Dioxide ,Zinc Oxide ,Butyl Methoxydibenzoylmethane (Avobenzone) ,Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine (Tinosorb® S), Drometrizole TriSiloxane (Mexoryl® XL), Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid (Mexoryl® SX) ,Methylene Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol (Tinosorb® M)

 

เจาะลึกสารกันแดด
ภาพจาก badgerbalm.com

ค่าในการปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ต้องสูงเข้าไว้

มาตรฐานทั่วโลกที่ใช้วัดค่าการป้องกันรังสี UVB คือ SPF (Sun Protection Factor)
ค่า SPF 30 หากกล่าวแบบง่ายๆ หมายถึงผลิตภัณฑ์ตัวนั้น สามารถป้องกันรังสี UVB ได้มากกว่าปกติ 30 เท่า สมมติถ้าเราไปตากแดด 15 นาที ผิวถึงจะเริ่มไหม้แสบแดง การที่ทา Sunscreen ที่มี SPF 30 ก็จะอยู่กลางแดดได้นานขึ้นอีก 30 เท่า นั่นก็คือ 450 นาที (15 x 30 = 450) หรือประมาณ 7 ชั่วโมง หากเราอยู่กลางแดดนานเกินกว่านี้ ก็ควรทาซ้ำ

 

เจาะลึกสารกันแดด
ภาพจาก typographicposters.com

 

สิ่งที่ควรทราบคือ
เราต้องใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณ 1/2 ช้อนชา ทาให้ทั่วใบหน้าหรือลำคอ เพื่อที่จะได้ค่า SPF ตามที่ระบุเอาไว้บนฉลาก (ส่วนตามร่างกายประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะสำหรับแขนและขา) 
ที่ SPF 30 ป้องกันรังสี UVB ได้ 97% ในขณะที่ SPF มากกว่า 50 ป้องกันได้ 98% ซึ่งแตกต่างกันเพียง 1% จึงอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ และในเมืองไทย อนุญาตให้เคลมได้ที่ SPF50 หากมากกว่านั้น ผลิตภัณฑ์จะระบุว่า SPF50+ สำหรับแดดที่ร้อนระอุในเมืองไทย และ UV Index แรงขนาดนี้ แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป

มาตรฐานที่ใช้วัดค่าการป้องกันรังสี UVA
ปัจจุบัน ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานสากลในการวัดค่าการป้องกัน UVA ที่พบได้บ่อยเราจะเห็นมี PPD กับ PA (+)

 

เจาะลึกสารกันแดด
ภาพจาก tnt-supermarket.com

 

PPD (Persistent Pigment Darkening)
ค่า PPD นั้น ใช้บอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้น จะช่วยปกป้องผิวจาก UVA ได้มากกว่าปกติกี่เท่า ซึ่งเราจะพบผลิตภัณฑ์ที่ระบุค่า PPD ได้จากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในยุโรป หรือผลิตเพื่อจำหน่ายในยุโรป หากจะเลือกใช้ แนะนำให้เลือกที่ PPD มากกว่า 10 ขึ้นไป

PA (+) หรือ Protection grade of UVA
เป็นค่าการป้องกัน UVA ซึ่งริเริ่มโดยสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2006 โดยมีหลักการดังนี้

  • PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA เริ่มต้น
  • PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA กลาง
  • PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
  • PA++++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด

สำหรับแดดเมืองไทย ควรเลือกที่ PA มากกว่าหรือเท่ากับ 3+ ( PA+++, PA++++)

 

เจาะลึกสารกันแดด

หากผิวแพ้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์แบบไหน?

สำหรับผิวแพ้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารกันแดดอย่าง Zinc Oxide และ Titanium Dioxide ( กลุ่ม Physical Sunscreen) เพราะไม่ตกค้าง หรือดูดซึมสู่ผิว และอุดตันรูขุมขนน้อย เลี่ยงน้ำหอม Fragrance Oil โดยเฉพาะน้ำมันจากลาเวนเดอร์ (Lavender oil) น้ำมันจากพืชตระกูลส้ม มะนาว มะกรูด (Citrus Oil) เพราะทำให้ผิวระคายเคืองง่าย เมื่อโดนแดด ทางที่ดีมองหาสูตรปราศจากน้ำหอมที่บอกว่า Fragrance Free หรือ Perfume Free ดีที่สุด และควรเลี่ยงสูตรที่ผสมแอลกอฮอล์ (Alcohol) เพราะสามารถก่อให้เกิดอนุมูลอิสระกับผิวได้ และก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ในผิวแพ้ง่าย

 

เจาะลึกสารกันแดด

 

เราควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้สารกันแดดชนิดเคมีคัลเซตตัวกับผิว (ถ้าผลิตภัณฑ์นั้น มีเพียงสารกันแดดฟิสิคัล ก็สามารถออกแดดได้เลย) และหากเราต้องทำกิจกรรมที่โดนน้ำ หรือเป็นคนมีเหงื่อออกมาก ก็ต้องหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น Water Resistance (กันแดดได้ 40 นาทีหากว่ายน้ำ) / Very Water Resistance (กันแดดได้ 80 นาทีหากว่ายน้ำ) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสารกันแดดแบบเคมีคัล สูตรแบบกันน้ำ ส่วนมากมักทำให้หน้าดูมันเงา เนื่องจากผลิตภัณฑ์สร้างชั้นฟิลม์ ที่สามารถทนน้ำได้ หากเราไม่ได้มีกิจกรรมทางน้ำ จึงไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ แต่ถ้าใครมีกิจกรรมทางน้ำ แนะนำให้ทาซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมงหากเป็นไปได้

 

เจาะลึกสารกันแดด

 

เลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว
ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์กันแดดนั้นมีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Cream, Lotion, Gel , Spray ถ้าคนผิวหน้ามันง่าย ควรเลือกสูตร Gel หรือ Spray แต่ถ้าจะมีกิจกรรมทางน้ำ เลือกแบบครีมเข้มข้นจะเหมาะกว่า เพราะแบบอื่นๆ จะไม่เสถียรและหลุดง่าย แม้ว่าจะเคลมว่ากันน้ำได้ดี 
สำหรับสาวๆ ที่รักการแต่งหน้า อาจพบปัญหาผลิตภัณฑ์กันแดดไม่เข้ากันกับรองพื้น หรือแป้งแต่งหน้า แนะนำให้ซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดขนาดเล็กมาทดลองก่อน เพื่อหายี่ห้อที่เหมาะสมกับเครื่องสำอางที่เรามี ในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์กันแดดที่ผสมสารปรับสีผิวให้กระจ่างใส หรือสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ใครที่อยากมีผิวกระจ่างใส ผิวหน้าเด้งไปนานๆ พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดด ก็สามารถเลือกได้

ผลิตภัณฑ์กันแดด ห้ามแช่เย็น
เพราะการแช่เย็น จะทำให้ประสิทธิภาพการกันแดดของสารกันแดดกลุ่มเคมีคัล (Chemical Sunscreen) ลดลง เนื่องจากเกิดการตกผลึกของสารกันแดดแยกชั้นออกจากส่วนผสม แนะนำให้เก็บในอุณหภูมิห้องที่ไม่ร้อน หลีกเลี่ยงแสงแดดในบริเวณที่เก็บ หากหมดอายุควรทิ้ง อย่าเสียดาย

……………………………………………….

สิ่งสำคัญที่อยากบอกไว้คือ ในโลกนี้ไม่มีผลิตภัณฑ์กันแดดใดๆ ที่กัน UVA และ UVB ได้สมบูรณ์แบบ 100% และการทาผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการป้องกันความเสียหายของ DNA ที่ผิวเรา สิ่งที่ควรทำไปควบคู่กันไป คือการเลี่ยงแดดในช่วง 11.00-13.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของรังสี UV มากที่สุด กางร่มหรือหลบแดดเท่าที่ทำได้ และควรสวมแว่นตากันแดด ที่มีการเคลือบสารกรองรังสี UV เพื่อปกป้องดวงตาเป็นประจำด้วยค่ะ

 

เรียบเรียงเนื้อหาโดย Dodeden.com

เรื่องน่าสนใจ