เมื่อเดือนที่ผ่านมาทางThe Klinique ได้เชิญให้เข้าร่วมMakeoverเป็นการทำครั้งแรกในชีวิตที่เจอแบบหนักๆแบบนี้ ทั้งฉีดฟิลเลอร์ อัลเทอร่าร้อยไหม ฉีดโบท็อก ทุกอย่างภายในวันเดียว! ของเช่ดูแลโดยคุณหมอเติ้ลค่ะ
ภาพแรก -ก่อนทำ รีเควสคุณหมอไปว่าอยากเพิ่มช่วงปลายจมูกให้โด่งและยาวลงมาสักนิด หน้าจะได้ไม่ดูแบนแต๊ดเกินไป TT…
ภาพสอง -หลังทำ30นาที จมูกดูแข็งๆเป็นแท่งๆตามแบบในรูปเลย เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ3วัน วันถัดไปก็จะดูซอฟเป็นธรรมชาติ
ภาพสาม -หลังทำ12วัน เริ่มรู้สึกเริ่มเข้าที่เข้าทาง ขยับได้บีบจมูกเล่นได้อยู่
คลิกดูขั้นตอนการทำกันนะคะ
ช่วงแรกเราจะทายาชาทั้งหน้าเลย เพราะว่าทำหลายอย่าง แต่ถ้าแค่จมุกก็จะโบ๊ะยาชาแค่ช่วงจมูกเท่านั้น คุณหมอเริ่มฉีดไล่จากสันลงมา บีบๆปั้นๆเหมือนดินน้ำมันก้อนนึงขนจมูกTT ยังไม่รุ้สึกเจ็บอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่พอฉีดปลายจมูกเท่านั้นแหล่ะค่ะ ย้ำว่าเจ็บพอตัวเลย น้ำตาไหลพรากๆเพราะตรงนั้นส่วนใหญ่เป็นเส้นประสาท คุณหมอบอกเจ็บเป็นเรื่องปกติ!
หลังทำได้เสร็จก็จะมีแท่งเย็นๆมาประคบเอาไว้ พอกลับมาหลังสัก7-8ชั่วโมงตรงจุดที่ฉีดก็จะแดงๆบวมๆอยู่ โดยเฉพาะช่วงปลายเพราะว่าฉีดไปเยอะหน่อย
หลายคนบอกว่าบวมช้ำม่วงเขียวอะไรก็ว่าไป แต่ของเช่ไม่เป็นจะแดงๆตรงช่วงปลายเท่านั้น พี่สาวเพื่อนเช่ที่เป็นพยาบาลแนะนำว่า หลังจากทำให้นอนหนุนหมอนสูงสัก2-3วัน เลือดจะได้ไม่ไปคลั่ง เช่ก็ลองทำตามดูก็ไม่เขียวไม่ช้ำ ยาที่หมอให้เช่กินแค่2วันแล้วก็เลิกเพราะไม่ชอบทานยา TT
ฉีดสารอะไรเข้าไป?
Hyaluronic acid หรือ HA เป็นfillerชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้มากกว่าน้ำหนักโมเลกุลของมันถึงพันเท่า และมีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ได้หลายอย่าง เช่นเติมเต็มริ้วรอย หลุมสิว ร่องแก้ม ทำให้บริเวณนั้นเต็มขึ้น HAจะค่อยๆถูกmetabolize ในร่างกายสลายออกไป
อยู่ได้นานเท่าไหร่?
คุณหมอบอกเช่12เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแล ทานน้ำให้เยอะๆ หลังจาก6เดือนมันก็จะค่อยๆยุบไปเองตามกระบวนการธรรมชาติ
แล้วต่างจากซิลิโคนทำจมูกยังไง?
ซิลิโคน
ข้อดี – ราคาถูกกว่า ทำครั้งเดียวอยู่ถาวรได้นานไม่ต้องคอยเติม ทำปลายหยดน้ำได้ต้องดูฝีมือการเหลาของหมอ หรือเอากระดูกหลังหูมาเพิ่มปลายเอา
ข้อเสีย – ถ้าเป็นซิลิโคนราคาถูกความยืดหยุ่น ความเเป็นธรรมชาติก็จะหายไป มีแผล เพราะต้องผ่าตัด ดังนั้นต้องใช้เวลาพักฟื้นนานพอสมควรกว่าจะเข้ารูป
ฟิลเลอร์
ข้อดี – ไม่ต้องผ่าตัด ระยะการพักฟื้นน้อยกว่าแบบซิลิโคน จะมีแค่แผลจากรอยเข็มไม่กี่วันก็หาย ได้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า บิด/ดึง/งอจมูกได้
ข้อเสีย – ราคาสูงกว่าและไม่อยู่ถาวร 7-8เดือนก็ควรเติมเพิ่มถ้ายังพอใจในรูปทรงนั้นคิดเฉลี่ยแล้วราคาสูงกว่าซิลิโคนแน่นอน เกิดพังผืด ถ้าเช่จะไปทำแบบซิลิโคน ของเช่จะกลายเป็นเคสงานแก้ทันที สรุปง่ายๆสลายไปไม่หมดนั่นเอง
จะทำแบบซิลิโคนหรือฉีดฟิลเลอร์ดี?
ถ้าคุณมีเป็นคนมีเนื้อจมูกเยอะ แนะนำทำเป็นซิลิโคนดีกว่า อยากได้แบบธรรมชาติปลายหยอดน้ำ ก็ต้องดูที่ฝีมือคุณหมอกับประเภทซิลิโคนที่จะทำแต่ถ้าคุณมีเนื้อจมูกน้อย ฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะอย่างน้อยมันจะไม่ดูดึงจมูกรั้งออกมามากนัก ไม่เสี่ยงกับปลายจมูกจะทะลุ
บทความดีๆที่อยากให้อ่าน
ตัดสินใจฉีด ต้องถามให้ดีว่าสารอะไร ตัวไหน และศึกษาก่อน รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น สถาบันนั้นๆหรือคุณหมอได้รับการรับรองไหม เคสที่แย่ก็มีเช่นในลิ้งค์ http://gamesbbclinic.blogspot.com/2012/04/filler.html
สรุปโดยรวม:ส่วนตัวเช่พอใจและชอบในความเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลหรือวิตกมากมายเวลาบีจมูก แคะจมูกก แต่ถามว่าทำต่อไหม คิดว่าไม่ดีกว่าเพราะคิดแล้วว่ายังไงถ้าเราทำเป็นซิลิโคนซะทีเดียว แต่เลือกคุณภาพดีและฝีมือคุณหมอ ก็น่าจะคุ้มกว่าต้องไปฉีดไปเติมเรื่อยๆ
สำหรับเช่จมูก คือสิ่งที่ถ้าคิดจะทำต้องขอคิดนานๆราคาสูงไม่เกี่ยงแต่ขอให้เข้ารูปหน้ารูปทรงเหมาะสม คุณภาพซิลิโคนต้องดี เพราะจมูกอยู่จุดศูนกลางใบหน้า และมันโดดเด่น โหนกแก้มสูงกรามบานยังเอาผมมาปิดมาบังได้ แต่จมูกจะเอาอะไรมาบัง เช่คงรอให้มันสลายไปก่อน อีกสักปีนึงอาจจะกลับมารีวิวแบบซิลิโคน ใช้กระดูกอ่อนต่อปลายจมูก มันเป็นสิ่งที่แพลนไว้ในอนาคต แต่ไม่แน่อาจจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาเพิ่มอีกก็ได้เพราะสมัยนี้มันเยอะไปหมด บางทีเราเองรู้สึกตามไม่ทัน ^^
…………………………………………
วันนี้ไปแล้วครั้งหน้า มีทั้งBotox ร้อยไหม อัลเทอร่า และที่สำคัญ ไปVaser กระชากเอาไขมันใต้แขนออก สะใจมาก!อยากแชร์ให้ฟังสุดๆ อย่าลืมติดตามกันค่ะ >.<
ขอบคุณ http://www.theklinique.com/