แผลเป็นคีลอยด์ เชื่อว่าในชีวิตนี้คงไม่มีใครอยากเป็นแน่นอน เพราะนอกจากจะรักษาให้หายได้ยากแล้ว ยังทำให้รอยแผลดูน่าเกลียด ทำเอาหมดความมั่นใจไปซะดื้อๆ

แผลเป็นคีลอยด์

ซึ่งในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีวิธีที่จะทำให้รอยแผลเป็นชนิดนี้ หายไปได้อย่างถาวร ทำได้เพียงแค่ดูดีขึ้นเท่านั้น ว่าแต่แผลเป็นชนิดนี้เกิดจากอะไร และเราสามารถป้องกันได้ไหม? มาหาคำตอบกันค่ะ

แผลเป็นคีลอยด์ เกิดจากอะไร ?

จริงๆ ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของแผลเป็นคีลอยด์ แต่พบว่ามักจะเกิดในผู้ป่วยที่มีผิวสีเข้ม ในตําแหน่งที่เกิดได้บ่อย ได้แก่ หัวไหล่ ติ่งหู และกลางหน้าอก ส่วนหนึ่งพบในผู้ป่วยที่มีประวัติทางพันธุกรรม คือ มีประวัติการเกิดคีลอยด์ในพ่อหรือแม่ แผลเป็นคีลอยด์นี้เชื่อว่าเกิดจากการที่แผลเป็นมีการสร้างสารที่เรียกว่าคอลลาเจนมากเกินกว่าปกติ จนทำให้เกิดแผลนูนออกมานั่นเอง

เราจะป้องกันได้อย่างไร ?

การป้องกันการเกิดแผลเป็น เป็นเรื่องสําคัญ โดยเฉพาะการที่มีแผลใหม่ๆ เราควรจะเริ่มโดยการนวด หรือการกดบริเวณนั้นๆ โดยทั่วไปแล้ว การนวดอย่างสม่ำเสมอในระยะประมาณ 3-6 เดือนแรก เป็นเรื่องสําคัญค่ะ เพราะในช่วงระยะแรกที่แผลเป็นมีการอักเสบอยู่ การนวดก็จะช่วยลดไม่ให้แผลเป็นมีการขยายใหญ่โตได้ หรือในบางครั้ง ที่แผลเป็นมีขนาดใหญ่กว้าง เช่น แผลเป็นที่เกิดจากไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก อาจจําเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือพิเศษ หรือผ้ารัด ที่จะต้องสวมใส่ เพื่อรัดบริเวณที่เกิดแผลเป็น เช่น ใบหน้า ลําตัว แขน ขา ในช่วงระยะประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปีแรก หลังจากได้รับอุบัติเหตุ

การรักษามีกี่วิธี ?

หากพบว่ามีแผลเป็นเกิดขึ้นแล้ว จะเริ่มจากการรักษาโดย

  • วิธีที่ 1 คือวิธีอนุรักษ์ หรือว่า conservative ก่อน
    โดยส่วนใหญ่แล้ว พบว่าเกิน 95 % รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด วิธีที่แนะนําให้ใช้วิธีแรกคือ การใช้แผ่นซิลิโคนปิด แผ่นซิลิโคนนี้ จะเป็นแผ่นเจลใสๆ ที่ทํามาจากซิลิโคน เราสามารถปิดไว้บนบาดแผล หลังจากบาดแผลหายดีแล้วประมาณ 7 วัน การปิดแผลนี้ แนะนําให้ปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งข้อดีจะทําให้บริเวณผิวหนังที่อยู่ใต้แผ่นซิลิโคนนี้ มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทําให้ลดการอักเสบได้
  • วิธีที่ 2 การใช้แผ่นเทปเหนียว หรือ microporous tape
    เนื่องจากว่าบางครั้ง การปิดด้วยซิลิโคนอาจจะไม่สะดวก  ก็จะสามารถใช้ microporous tape ทดแทนได้เช่นเดียวกัน แผ่นเทปเหนียวนี้ สามารถใช้ปิดลงบนบาดแผลได้โดยตรง และจะทําให้ผิวหนังบริเวณใต้ต่อเทปนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทําให้มีการอักเสบลดน้อยลง
  • วิธีที่ 3 การฉีดยาด้วยยาสเตียรอยด์
    จะลดการอักเสบของการเกิดเป็นแผลเป็นนูนเกิน หรือคีลอยด์ได้ ยาที่แนะนําคือ Triamcinolone acetonide ซึ่งเป็นยาฉีดเฉพาะที่ สามารถลดการ อักเสบ วิธีการรักษาคือฉีดยาเข้าไปในแผลเป็นโดยตรง แต่ก็อาจทําให้มีอาการเจ็บได้พอสมควรในระหว่างการฉีดยา จะแนะนําให้ฉีดแผลเป็นนี้ในช่วงระยะประมาณไม่เกิน 1 ปีแรกหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนใหญ่แล้ว จะต้องฉีดประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งความถี่ในการฉีด ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาว่าเป็นอย่างไรด้วย
  • วิธีที่ 4 คือการผ่าตัด
    การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับรูปแบบของแผลเป็นนั้น ถ้าเป็นกรณีที่เกิดเป็นแผลเป็นนูนเกิน หรือคีลอยด์ เราก็อาจจะใช้วิธีตัดออก หรือว่าลดขนาดลงบางส่วน วิธีนี้ อาจจะใช้ร่วมกับการรักษาโดยวิธีอื่น เช่น การฉีดยา หรือการปิดด้วยแผ่นซิลิโคนก็ได้ การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี อาจจะใช้วิธีตัดออกโดยตรงแล้วเย็บปิดเป็นเส้นตรง หรืออาจจะตัดออกเป็นรูปซิกแซก เพื่อที่จะให้แผลเป็นที่เกิดขึ้นใหม่ มีลักษณะใกล้เคียงกับรอยย่นตามผิวหนัง

••••••••••••••••••••••••

การรักษาแผลเป็นนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาดูว่า แผลเป็นนั้น เป็นแผลเป็นนูนชนิดใด หากเป็นแผลเป็นนูนเกินหรือคีลอยด์ จะต้องพิจารณาการรักษาอย่างเหมาะสม เพราะอาจจะมีแผลเป็นใหญ่โตเกินกว่าขนาดเดิมได้ โดยทั่วไปแล้ว แผลเป็นมักจะสามารถป้องกันได้ เพราะฉะนั้น หากเรารู้จักวิธีการดูแลรักษา ภายหลังจากที่ได้รับแผลเป็นใหม่ๆ ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้แผลเป็นนั้นนูนเกิน หรือเป็นคีลอยด์ได้ในอนาคต

 

เรียบเรียงเนื้อหาโดย Dodeden.com

เรื่องน่าสนใจ