นายแพทย์ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล รองโฆษกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี มักพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น
เชื้อโรคจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย และติดต่อผ่านทางการไอ จาม หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งข้างต้นโดยตรง ซึ่งการไอ จามเพียงครั้งเดียว สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคไปได้ไกลถึง 3 ฟุต ผู้อยู่ใกล้เคียงมีโอกาสติดเชื้อได้
กรม สบส.จึงได้มุ่งเน้นเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน เพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพ สร้างสุขภาพดี ป้องกันการเจ็บป่วยตามนโยบายของรัฐบาล โดยแนวทางการป้องกันการแพร่เชื้อโรคหวัดทั่วไป และไข้หวัดใหญ่ คือ การให้ผู้ป่วยที่เป็นผู้แพร่เชื้อสวมหน้ากากอนามัย อันเป็นวิธีที่ได้ผลและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ควบคู่กับการปลูกฝังพฤติกรรมการล้างมือฟอกสบู่ด้วย ซึ่งจะช่วยขจัดเชื้อโรคที่ติดมากับมือได้
ทั้งนี้ กรม สบส. ได้สำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเป็นหวัด ของกลุ่มประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมทั้ง กทม./ปริมณฑล จำนวน 512 คน ช่วงเดือนตุลาคม 2559 พบว่า มีกลุ่มตัวอย่างสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อเป็นหวัดเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น
อีกร้อยละ 74 สวมบ้างไม่สวมบ้าง และที่เหลือร้อยละ 7 ไม่เคยสวมเลย ซึ่งพบในกลุ่มที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษามากที่สุด ร้อยละ 23 ส่วนกลุ่มที่สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งสูงที่สุด คือ กลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรี ร้อยละ 44
เมื่อจำแนกรายภาค พบว่ากลุ่มตัวอย่างภาคกลางไม่เคยสวมหน้ากากอนามัยเลยมากที่สุด ร้อยละ 15 รองลงมา คือ กทม./ปริมณฑล ไม่เคยสวมเลย ร้อยละ 11 ขณะพบกลุ่มตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งมากที่สุด ร้อยละ 38 รองลงมา คือ ภาคเหนือ ร้อยละ 31
“จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่า การสวมหน้ากากอนามัยสามารถลดการแพร่กระจาย ละอองน้ำมูก หรือน้ำลายที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนได้ถึงร้อยละ 80 โดยหน้ากากอนามัย จะทำหน้าที่ดักจับละอองที่มีเชื้อโรค โดยเฉพาะไวรัส เอาไว้ในตัวหน้ากากอนามัย ไม่ให้แพร่ออกสู่ภายนอก และเมื่อละอองนั้นแห้งลง เชื้อไวรัสจะตายไปเอง
ดังนั้น ประชาชนทุกวัยที่ป่วยเป็นไข้หวัดทุกชนิด รวมทั้งโรคทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น วัณโรค ควรสวมหน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย ไม่ต้องอาย และถือว่าเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสังคมสูง ให้เกิดสังคมปลอดโรค
โดยกรม สบส.จะขอให้ อสม. ร่วมเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการสวมหน้ากากอนามัย แก่ประชาชนทุกหมู่บ้านผ่านหอกระจายข่าว และให้กองสุขศึกษา ปลูกฝังพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยในกลุ่มนักเรียน เพื่อให้ใช้จนติดเป็นนิสัย” นายแพทย์ภัทรพล กล่าว
สำหรับ หน้ากากอนามัย ที่ใช้กันทั่วไปมี 2 ชนิด มีทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ คือ ชนิดเยื่อกระดาษ 3 ชั้น ทำจากวัสดุเส้นใยสังเคราะห์นำมาเย็บทบซ้อนกัน 3 ชั้น ชั้นนอกสุดมีสีเขียว การสวมที่ถูกต้องจะต้องเอาด้านสีขาวไว้ด้านใน ด้านสีเขียวไว้ด้านนอกเสมอ ควรเปลี่ยนวันละครั้งเพราะจะมีการสะสมของเชื้อโรค
หลังใช้แล้วให้ทิ้งในถังที่มีฝาปิดมิดชิด และหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้า ซึ่งสามารถซักด้วยน้ำและผงซักฟอกทั่วไป ผึ่งแดด และนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีก หากชำรุดหรือเปรอะเปื้อนควรเปลี่ยนใช้อันใหม่