ที่มา: dodeden

นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาเฉพาะกิจน้ำท่วมสถานพยาบาลในภาคใต้และการสนับสนุนภาคประชาชนของกรม สบส. ให้สัมภาษณ์ว่า

จากการประเมินสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ ขณะนี้มีพื้นที่ประสบภัย 7 จังหวัดได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี พัทลุง ยะลา สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส  และมีพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 5 จังหวัดคือ ระนอง กระบี่ ตรัง ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ 

ซึ่งจากการประเมินชุมชน ปัญหาในพื้นที่ที่ระดับน้ำลดแล้วจะพบว่ามีปริมาณขยะมูลฝอยจำนวนมาก มีทั้งขยะวัชพืช เศษไม้ ขยะจากสิ่งปลูกสร้าง ของใช้ต่างๆ และขยะอันตราย

เช่น หลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย เป็นต้น รวมทั้งมีตะกอนดินทรายที่น้ำพัดพามาจำนวนมาก  ซึ่งประชาชนมีความเสี่ยงอันตรายทั้งจากเชื้อโรคที่อยู่ในดินโคลนชื้นแฉะ เช่น เชื้อโรคฉี่หนู เชื้อบาดทะยัก  รวมทั้งอันตรายสัตว์มีพิษและจากสารเคมี โลหะหนักต่างๆ

เช่น หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ถ่านกระดุมมักมีสารปรอทเจือปน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คือระบบประสาทส่วนกลาง หากเป็นถ่านไฟฉายจะมีสารแคดเมียม เป็นอันตรายต่อโครงสร้างกระดูก ปอด และไต

นายแพทย์ประภาส กล่าวต่อว่า เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ  จึงขอแนะนำให้ประชาชนที่จะเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านเรือนทั้งภายในและนอกบ้านภายหลังน้ำลด   รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเกี่ยวกับขยะมูลฝอยต่างๆ ในพื้นที่น้ำท่วม ขอให้ปฏิบัติ 6 ประการดังนี้

1.ไม่ควรใช้มือเปล่าเก็บขยะ เนื่องจากมีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อโรคและสารเคมี ก่อนดำเนินการทุกครั้ง  ขอให้แต่งกายให้มิดชิด เช่น สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตราย คือ สวมถุงมือยาง หรือถุงพลาสติก  ใส่รองเท้าบูท  สวมหน้ากากอนามัย 2.ขณะที่ทำการเก็บขยะภายในบ้านให้เปิดประตูหน้าต่างเพื่อเพิ่มการระบายอากาศ

3. ควรแยกขยะเปียก และขยะแห้งออกจากกัน ใส่ถุงดำและเก็บให้พ้นน้ำ สำหรับถุงเศษอาหารควรบรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดแข็งแรงอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสัตว์มากัดแทะหรือสัตว์มีพิษมาอาศัยซ่อนแอบซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

4.ควรแยกขยะประเภทอันตราย เช่น เครื่องไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า  ขวดบรรจุสารเคมีที่เป็นอันตรายออกจากขยะทั่วไป โดยใส่ถุงปิดให้มิดชิดและเขียนป้ายว่าเป็นขยะอันตรายและเก็บให้พ้นน้ำเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปกำจัดให้ถูกวิธี

ประการที่ 5.ให้ทำความสะอาดมือและร่างกายทุกครั้งภายหลังสัมผัสขยะหรือสิ่งสกปรก และระมัดระวังไม่ให้ผิวหนังที่มีบาดแผลสัมผัสน้ำท่วมขัง เพื่อความปลอดภัยจากสารเคมีและเชื้อโรค

และ 6.หากหลังสัมผัสขยะแล้วรู้สึกแสบคันจมูกเวียนศีรษะ หรือเกิดความผิดปกติใดๆ กับร่างกาย ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันทีหรือแจ้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรืออสม.ที่อยู่ใกล้โดยเร็ว   โดยกรมสบส.ได้ให้อสม.ประชาสัมพันธ์คำแนะนำดังกล่าว ผ่านทางหอกระจายข่าวในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง

เรื่องน่าสนใจ