แม้โอกาสที่ “แม่ทุม ปทุมวดี เค้ามูลคดี” ซึ่งมีอาการป่วยและเข้ารับการรักษาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตั้งแต่พฤษภาคมปีที่แล้วจะมีความหวังแค่เพียงริบหรี่ แต่คู่ชีวิตอย่าง “พ่อรอง เค้ามูลคดี” ก็ยังไม่หมดหวัง และยังรอปาฏิหาริย์อยู่เสมอ

แต่ล่าสุดได้มีโอกาสเจอพ่อรองในงานแถลงข่าวละครเฉลิมพระเกียรติ “ไกลกังวล มิวสิคัล ออน เดอะ บีช” โรงแรม เดอะ สุโกศล พญาไท เจ้าตัวได้เปิดใจด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่าอาการแม่ทุมทรุดระยะสุดท้าย มีโอกาสรอดไม่ถึง 30% ตอนนี้ต้องลุ้นอาการวันต่อวัน

557000010251702

 

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบสองปีเรามีความหวังมาตลอด แต่ตอนนี้ความหวังมันเริ่มหลุดลอยแล้ว ซึ่งโอกาสคงจะไม่มีแล้วล่ะ แต่เราก็ยังหวังว่าอาจจะมีปาฎิหารย์ช่วยให้เขารอดชีวิตได้

หมอบอกว่าตอนนี้ก็เข้าขั้นระยะสุดท้ายแล้ว ก็ต้องรักษากันไปตามอาการ เพราะว่ายาที่จะรักษาโดยตรงมันก็ไม่มี แต่ก็ดูเขาแข็งแรงนะ แต่ว่าตอนนี้เพียงแค่ไม่รับรู้เท่านั้นแหละ”

“ที่บอกว่าต้องทำใจเป็นเพราะติดเชื้อบ่อยเหลือเกิน หมอเขากลัวว่าจะติดเชื้อเข้ากระแสเลือด ก็เคยติดเข้ากระแสเลือดทีหนึ่ง แต่ทางโรงพยาบาลเอายามาชนิดหนึ่งแล้วบล็อกอยู่ ก็เลยรอดมา นี่มาอีกแล้ว

พอมันมาทีมันก็แรงขึ้นๆ ตลอด เราก็ไม่รู้ว่ามันจะแรงไปถึงขนาดไหน จนยาเอาอยู่หรือไม่อยู่เราก็ไม่รู้ ตอนนี้ต่างคนก็ต่างเป๋ไปเป๋มาหมดแล้ว”

“ลูกๆ ทุกคนต้องบอกว่าเข้มแข็งเหมือนแม่เขา เขาพร้อมที่จะสู้กับมันทุกอย่างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็มีพ่อคนเดียวที่ป้อแป้กว่าเพื่อน ต้องยอมรับว่าทำใจไม่ได้จริงๆ เพราะอวัยวะของเขาค่อยๆ ดับไปทีละดวง

คือเราก็ไม่รู้ว่าจะดับไปตอนไหน แต่ตอนนี้ท่อนขามันบล็อกไปแล้ว ท่อนแขนก็บล็อก เวลานี้ขึ้นไปบล็อกสมอง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจากนี้มันจะลงตรงไหน มันมีอีกที่เดียวที่มันจะพุ่งลง ถ้าลงวันไหนก็คือจบ แต่ตอนนี้มันก็ยังไม่มาเต็มที่ มันเฉียดไปเฉียดมา ซึ่งก็ถือว่าเขาก็มีบุญมาสมควร”

บอกโอกาสรอดไม่ถึง 30% ทุกวันนี้รอแค่ปาฏิหาริย์ ระวังเรื่องการติดเชื้อไม่ให้เข้ากระแสเลือด

“เวลานี้เปอร์เซ็นต์รอดผมว่าไม่ถึง 30 ด้วยซ้ำ แต่เราไม่ได้เตรียมอะไรล่วงหน้าเลย คือเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเขาจะรอด ไว้มีอะไรเกิดขึ้นค่อยไปว่ากันตรงนั้น ไม่มีการเตรียมใดๆ ทั้งสิ้น เรารอปาฎิหาริย์ ตอนเช้าก็ไปหาเขาที่โรงพยาบาลก็หอมแก้มเขา และกระซิบข้างหูทุกวันว่าแม่ต้องสู้นะ ตอนนี้พ่อกับลูกกำลังสู้พร้อมกับแม่ แม่ต้องอยู่รอด ถ้าแม่ไม่อยู่พ่อก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง”

“ตอนนี้เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว จะมีความหวังหรือไม่ไม่รู้ แต่เราก็คิดว่ามีนะ แต่คนที่เขาเป็นผู้รู้เขาก็บอกว่าหมดหวังแล้ว เพื่อนๆ ที่เป็นหมอเขาก็บอกไม่มีสิทธิ์แล้ว หมดหวัง เพราะโรคนี้มันรักษาไม่ได้ ใครเป็นก็เสียชีวิต แต่เราก็หวังว่าจะมีปาฏิหารย์ช่วยเขา

ตอนนี้คุณหมอก็รักษาได้แต่ตามอาการ ก็ระวังเรื่องติดเชื้ออย่างเดียว เพราะถ้าติดเชื้อขึ้นมามันจะยุ่ง ถ้ามันเข้ากระแสเลือดก็คือจบกัน แต่ตอนนี้มันไปติดเข้าปอดก็ยังพอทำเนา ก็ดูอาการวันต่อวัน แต่คุณหมอก็สุดความสามารถของท่านแล้ว ก็ต้องกราบขอบพระคุณท่านด้วย”

เผยเคยท้อจนเลิกท้อแล้ว บางทีนอนคนเดียวก็น้ำตาไหล

“เราก็ให้กำลังใจตัวเองโดยการพยายามอยู่กับคนเยอะๆ แล้วเราก็จะสนุกสนาน แต่พออยู่คนเดียวมันก็เครียด คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย แต่เราก็คิดว่าเขาต้องรอด แรกๆ ก็ท้อนะ แต่ตอนนี้ไม่ท้อแล้ว ลูกบอกเราท้อไม่ได้ พ่อคือเสาหลัก

ถ้าพ่อท้อทุกคนก็จบ พ่อต้องสู้นะ ก็เลยจับมือกับลูก เอาน่ะ สู้ก็สู้ ทุกวันนี้ก็ยังมีร้องไห้บางครั้ง จะบอกว่าไม่ร้องเลยเป็นไปไม่ได้ บางครั้งนอนคนเดียวน้ำตามันก็ไหลออกมา ไม่รู้ว่าออกมาได้ยังไงนะ เราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มันไหลออกมาเฉยๆ”

รับได้นอนวันละ 3 ชม. บางทีนอนแล้วสะดุ้งตื่นเหมือนอีกฝ่ายเรียกหา

“ค่าใช้จ่าย ไม่พูด ไม่คิดเลย ลูกถามว่าดูค่าใช้จ่ายหน่อย พ่อบอกไม่ดู ตอนนี้หาได้เท่าไหร่ ลูกหาได้เท่าไหร่มาวางตรงกลาง รักษาแม่ หมดให้มันหมดไป เอาแม่รอดอย่างเดียว เฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่เคยนับ คงต้องถามน้องยุ้ย (ปัทมวรรณ)

ตอนนี้เราก็ทำงานหนัก ยิ่งแม่เจ็บยิ่งหนักมาก ละคร 4-5 เรื่อง วิ่งรอกอุตลุดเลย พอว่างก็ไปโรงพยาบาล เราเองก็นอนวันละ 3 ชั่วโมงกว่า มีบางวันนอนๆ อยู่เราก็สะดุ้งตื่น เหมือนเขาเรียก ก็สะดุ้งตื่นเข้ามาอ้าว ไม่มีนี่หว่า ทีนี้กว่าจะหลับได้ก็นานเลย ตอนนี้ลูกๆ ทุกคนชักไม่ค่อยห่วงแม่แล้ว ห่วงพ่อมากกว่า เพราะเขารู้ว่าพ่อเริ่มเครียด เขาก็ห่วง”

ที่มา ผู้จัดการ

เรื่องน่าสนใจ