อยากมีผิวพรรณกระจ่างใส แต่สีผิวเดิมคล้ำ ต้องทำอย่างไรบ้างนะ? คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ค่านิยมของคนไทย ยังไงๆ ก็มักจะชอบความขาว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของค่านิยมด้วย หรือบางคนคิดว่าเติมแต่งอะไรได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะแต่งหน้า แต่งตัว หรือเลือกซื้อเสื้อผ้า อะไรก็ว่ากันไป ทําให้คนจํานวนมากต่างพากันสรรหาสารพัดที่จะทําให้ตัวเองขาวขึ้น ตั้งแต่วิธีที่ทําง่ายๆ ด้วยตัวเอง อย่างทาครีมกันแดด เดินกางร่ม ทานวิตามิน หรืออาหารเสริม เข้าสปาเพื่อไปอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม พอก นวด ขัด ถู จนถึงเข้าคลินิกเพื่อพึ่งนวัตกรรมความงามอันทันสมัย ที่จะช่วยให้ขาวขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงคนที่ชอบใช้ทางลัด แต่ไม่ปลอดภัยอย่างการใช้สารฉีดผิวขาว พวกกลูต้าไธโอน ที่ทําให้ขาวเร็ว ขาวด่วน แต่อันตรายอาจตายคาเข็ม
สาเหตุที่ทําให้คนเรามีสีผิวที่ต่างกัน
อันดับแรก จะเกี่ยวกับเรื่องของเชื้อชาติ พันธุกรรม เช่น เป็นคอเคเชียน (ทางโซนยุโรป) มักจะมีสิผิวขาว มองโกลอยด์ (โซนเอเซีย) มักจะมีผิวเหลือง หรือนิโกร (แอฟริกาใต้) จะมีผิวสี หรือคนที่มาจากเชื้อชาติเดียวกัน แต่ภูมิภาคต่างกัน บางครั้งก็สีผิวต่างกัน เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยการโดนแสงแดด ซึ่งมีส่วนทําให้ผิวคล้ำได้มาก หรือบางคนผิวคล้ำเพราะโรคบางอย่าง เช่น โรคไต โรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน การทานยา หรือรับยาบางชนิด เช่น กรดวิตามิน A ทําให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น รวมถึงมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทําให้ผิวคล้ำขึ้นได้ เช่น ไม่ค่อยทานผักผลไม้ นอนดึก ดื่มน้ำน้อย ความเครียด เป็นต้น
ถ้าอยาก จะขาวได้มากน้อยขนาดไหน?
วิธีการต่างๆ ที่จะนํามาใช้ในการปรับผิวขาว (แบบปลอดภัย) จะขาวได้มากที่สุด เท่ากับผิวส่วนที่ขาวที่สุดในร่มผ้าของเรา บางคนมีปัญหาคือตอนเด็กๆ อาจจะขาว แต่พอโตขึ้นกลับคล้ำขึ้นเรื่อยๆ นั่นมักเกิดจากแสงแดด ส่วนคนที่คล้ำมาตั้งแต่กําเนิด จะทําให้ขาวแบบคนผิวขาวเลย คงไม่สามารถทําได้ แต่จะขาวขึ้นเท่าผิวที่ขาวที่สุดของเขา การดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะทําให้ผิวใสผ่อง ดูเนียน และสุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นค่ะ
การป้องกันปัญหาผิวไม่ให้ดําคล้ำ
ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว เพราะเซลล์ต่างๆ ประกอบไปด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ นอนไม่ควรเกิน 5 ทุ่ม เพื่อให้การหลั่งฮอร์โมนในร่างกายของเราเป็นปกติ ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น รวมถึงจัดการในเรื่องของภาวะความเครียดของตัวเราเอง หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทําให้เกิดความเครียดต่อผิว เช่น เครื่องดื่มแอลกอล์ฮอล์ การสูบบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลให้ผิวหมองคล้ำขึ้นได้ การทานวิตามิน หรืออาหารเสริมร่วมด้วยก็ช่วยได้มาก เช่น วิตามินซี ทําให้ผิวเราต่อต้านแสงแดดได้มากขึ้น หรือ LCysteine เพื่อร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกลูต้าไทโอน สารสะกัดจากเปลือกสน มีประโยชน์ในเรื่องของเม็ดสีผิว รวมถึงพวกน้ำมันปลา ซึ่งช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้ ยิ่งถ้าทานควบคู่กันไป ก็จะได้ผลที่ดียิ่งขึ้น
ในส่วนของการดูแลเรื่องภายนอก ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ โดยดูค่าทั้งยูวีเอ และยูวีบี ไม่ควรทาบางเกินไป เพราะอาจทําให้ค่า SPF ลดลงได้ (ในผิวคนเอเซีย ค่า SPF 1 สามารถป้องกัน ได้ 15 นาที) และอาจจะต้องมีการทาซ้ำด้วย โดยขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทํา เช่น ถ้าไปเที่ยวทะเล หรือทํากิจกรรมกลางแจ้ง อาจจะต้องทาซ้ำทุก 2 ชม. (ถ้าโดนน้ำควรใช้ครีมกันแดดที่เป็น Waterproof ด้วย) ถ้ามีการเข้าและออกภายในและนอกอาคาร อาจจะต้องมีการทาซ้ำอีกครั้งตอนเที่ยง แต่ถ้าไม่โดนแดด อาจจะไม่ต้องทาซ้ำก็ได้ รวมถึงฟิล์มกรองแสง ก็ต้องเลือกที่มีคุณภาพ ไม่เสื่อมสภาพ เลือกใช้ครีมบํารุงผิวที่มีส่วนผสมของ Whitening เพื่อช่วยลดการทํางานของเม็ดสีให้น้อยลง รวมถึงการทาครีมบํารุงให้ผิวชุ่มชื้น มีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้ ที่สำคัญ ควรใส่เสื้อแขนยาวเวลาที่ต้องออกแดด ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้มาก
ใช้การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้
เนื่องจากผิวที่หมองคล้ำ เกิดจากเม็ดสีถูกสร้างขึ้น และมาสะสมอยู่เป็นจํานวนมากในเซลล์ผิวชั้นนอก เราจึงต้องผลัดออกไปบ้าง เช่น การใช้กรดผลไม้เข้มข้น ซึ่งคลินิกต่างๆ จะมีให้บริการ การทําอาจจะทําสักเดือนละครั้ง หรือถ้าให้ประหยัด อาจจะทําเองที่บ้านก็ได้ แต่ความเข้มข้นอาจจะน้อยกว่าการทําที่คลินิก แต่ข้อดีคือ สามารถทําได้บ่อยๆ (ประมาณสัปดาห์ละครั้ง) ข้อดีของการใช้กรดผลไม้ คือเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออก มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก แต่ข้อเสียคือ หากมีการใช้กรดผลไม้เข้มข้นในการทํา อย่างการไปทําที่คลินิก ถ้าทําบ่อยเกินไป ผิวอาจจะบางลงได้ หรือถ้าทําโดยไม่ได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นอาจจะสูงเกินไป ผิวอาจจะเกิดการเบิร์นไหม้ได้
การใช้เครื่องมือกรอผิวด้วยเกร็ดเพชร หรือเกร็ดอัญมณี
การกรอผิว เพื่อทําให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออก วิธีนี้มักจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทํา เพราะผิวที่เสื่อมสภาพถูกผลัดออกไป การกรอด้วยหัวเพชรที่มีความละเอียด ผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. จะมีความปลอดภัย ไม่ถากผิว และไม่ทําให้ผิวบางลง ถ้าไม่จะทําทั้งตัว อาจจะค่อยๆ ทํา หรือเลือกทําเฉพาะส่วนเช่น แขน หรือบริเวณที่มีรอยด่างดํามากๆ อาจจะทําร่วมกับเครื่องมือที่ช่วยผลักไวท์เทนนิ่ง (Electroporation) ก็จะทําให้เห็นผลที่รวดเร็วขึ้น ความถี่ในการทํา ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 10 ครั้ง ข้อดีของการกรอผิว คือเป็นวิธีที่เห็นผลชัดเจน และไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ข้อเสียคือ หากไปใช้เครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจจะทําให้ผิวถูกถาก ทําให้เกิดแผลได้
การใช้เครื่องผลักไวท์เทนนิ่ง หรือตัวยาเข้าสู่เซลล์ผิว
เครื่องมือชนิดนี้ จะใช้ในการผลักให้ไวท์เทนนิ่ง หรือตัวยาต่างๆ เข้าสู่เซลล์ผิวได้ลึกขึ้นกว่าการทาธรรมดา อาจจะลงลึกได้ถึง 99% ในขณะที่การทา จะได้เพียง 5% หรือน้อยกว่า เพราะปกติผิวไม่ยอมให้อะไรผ่านไปง่ายๆ ยิ่งลงลึกเท่าใด ก็ยิ่งก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นเท่านั้น แต่การเลือกเครื่องมือที่ได้มาตรฐานก็เป็นสิ่งสําคัญ เช่น ควรเป็นเครื่องที่ผ่านการรับรองจาก FDA หรืออ.ย.ไทย เพราะถ้าเครื่องมือไม่ดี อาจจะสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์ และไม่เห็นผลเท่าใดนัก และขึ้นอยู่กับน้ำยา หรือไวท์เทนนิ่งที่เลือกใช้ด้วย ความถี่ในการทํา ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 10 ครั้ง ข้อดีของวิธีนี้ คือเป็นวิธีการที่ดี ปลอดภัย และไม่ส่งผลให้ผิวบางลง ยิ่งถ้าทําควบคู่กับการผลัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพออกไปด้วยแล้ว ยิ่งทําให้เห็นผลรวดเร็วมากขึ้น
การใช้เลเซอร์ช่วยปรับผิวขาว
เช่น IPL (Intensed Pulse Light) เป็นการรักษาด้วยแสงความเข้มสูงพิเศษ ซึ่งได้ผลการรักษาที่ดี ซึ่งจะช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวใสขึ้น ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย สําหรับผิวกาย บางคนอาจจะเลือกทําเฉพาะส่วน เช่น แขน รักแร้ ขาหนีบ ความถี่ในการทํา ควรทํา 2 สัปดาห์ / ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 10 ครั้ง หรือจะเป็นการทำ Medlite ซึ่งเป็นเครื่องมือที่อยู่ในกลุ่มของ Q-switch ND : Yag laser มีความยาว คลื่น 1064 nm และ 532 nm ซึ่งเป็นกลุ่มของเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาเม็ดสีหมองคล้ำ ซึ่งได้ผลดีพอสมควร แต่การทําถ้าทําในพื้นที่กว้างๆ อาจจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง อย่างการทําทั้งตัว อาจจะไม่คุ้มในเรื่องค่าใช้จ่าย ความถี่ในการทํา ควรทํา 2 สัปดาห์ ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 10 ครั้ง
การฉีดวิตามินผิว
เป็นการบํารุงผิวให้ขาวใสจากภายใน เพราะวิตามินที่ถูกฉีดหรือให้ทางสายน้ำเกลือเข้าไปนั้น จะเข้าไปช่วยกระตุ้นในการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอก ทําให้ได้เซลล์ผิวใหม่ที่ขาวใสมากขึ้น ช่วยในเรื่องของผิวที่ไม่เสมอกันได้ดี ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรง และสุขภาพดีอีกครั้ง
…………………………………………………..
อยากมีผิวพรรณกระจ่างใส ต้องกระจ่างใจอย่างยั่งยืน การที่จะขาวได้ เราต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนว่า มันต้องเริ่มจากการทําให้ผิวแข็งแรงจากข้างใน ด้วยการดูแลตัวเอง เช่น ดื่มน้ำเพียงพอ ทานผักผลไม้ ออกกําลังกายให้เลือดไหลเวียน ทานวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว ดูแลตัวเองให้พ้นจากแสงแดด เป็นต้น ไม่ใช่ไปเลือกใช้วิธีขาว ที่ทําให้ผิวบางลง คือการทําทุกอย่างต้องทําอย่างพอดี ควรจะดูแลตัวเองทั้งภายนอกและภายใน
เนื้อหาโดย Dodeden.com