- เข้าร่วม
- 16 กันยายน 2020
- ข้อความ
- 131
มะเร็งปากมดลูกมักพบในหญิงวัย 30 - 55 ปี เริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ ต่อมาอาจมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด น้ำหนักตัวลด อ่อนเพลีย ปวดอุ้งเชิงกรานและหลัง ขาบวมข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง ตลอดจนมีอาการท้องผูก ปัสสาวะเป็นเลือด อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก อย่างไรก็ตามมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และป้องกันโดยการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกได้ โดยวัคซีนมะเร็งปากมดลูก เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV มีด้วยกัน 3 ชนิดดังนี้
1.ชนิดที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 16 และ 18) ชื่อการค้า Cervarix ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%
2.ชนิด 4 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16 และ 18) มีชื่อการค้าว่า Gardasil ป้องกันมะเร็งปากมดลูก และหูดที่อวัยวะเพศ
3.ชนิด 9 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58) ชื่อการค้า Gardasil 9 องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) เพิ่งรับรองประสิทธิภาพวัคซีนตัวนี้ โดยสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกและหูดได้ประมาณ 90% รวมทั้งป้องกันมะเร็งทวารหนักได้ประมาณ 80%
การฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็มภายในระยะเวลา 6 เดือน คือ ครั้งที่ 1 ให้ฉีดตามที่กำหนด , ครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 1-2 เดือน , ครั้งที่ 3 ห่างจากเข็มแรกประมาณ 6 เดือน โดยช่วงอายุที่ดีที่เหมาะกับการฉีดวัคซีน คือให้ฉีดก่อนถึงวัยที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และโรคที่จะเกิดตามมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งองค์การอาหารและยาของอเมริกาได้แนะนำให้เริ่มฉีดเมื่ออายุประมาณ 11-12 ปี แต่อาจจะฉีดเมื่ออายุ 9 ขวบก็ได้ เนื่องจากเด็กจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ในช่วงอายุ 9-26 ปีได้เป็นอย่างดีค่ะ
#วัคซีนมะเร็งปากมดลูก