- เข้าร่วม
- 14 พฤศจิกายน 2013
- ข้อความ
- 421
ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก อีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
ในปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้คนเราออกกำลังกายน้อยลง และบริโภคอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนโดยไม่รู้ตัว ปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก จึงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องเผชิญ แม้การลดน้ำหนักด้วยวิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็มีคนอีกหลายคน ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีปกติ ดังนั้น การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก จึงเป็นสิ่งที่กลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในยุคนี้ค่ะ
แม้ชื่อของการผ่าตัดกระเพาะอาหารจะฟังดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนพอ ๆ กับการส่องกล้องผ่าตัดมดลูก หรือนิ่วในถุงน้ำดีเพียงเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ จากหลายสาขามาช่วยกันดูแล เพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จได้อย่างดี และลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น
การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) คืออะไร ?
การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง หรือลดการดูดซึมของกระเพาะอาหาร สามารถเรียกได้ว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน เพราะว่าในกระเพาะอาหารของเรามีฮอร์โมนชนิดนึงที่ทำให้เกิดความอยากอาหาร เมื่อเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลงก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนชนิดนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้ลดลง ก็จะส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงไป การผ่าตัดลดน้ำหนักนี้จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลงมากในช่วงแรก แต่จะไม่ทรมาน เพราะฮอร์โมนและความอยากอาหารก็ลดลงตามไปด้วย
ใครสามารถทำการผ่าตัดลดน้ำหนักได้บ้าง?
ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
มี ภาวะอ้วน หรือมีดัชนีมวลกายสูงกว่า 32.5 กก./ตร.ม. ขึ้นไป
ผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาแล้วแต่ไม่ได้ผล
เป็นผู้ที่ไม่ได้มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้หลังผ่าตัด เช่นเป็นโรคทางจิตเวช
ประโยชน์จากการรักษาโรคอ้วนโดยการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
เมื่อไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีปกติ การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีความปลอดภัย วิธีนี้เป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเป็นสากล และถือเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้ป่วยโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักลงมาได้ และหลังจากการผ่าตัดแล้ว ก็จะทำให้ผู้ป่วยนั้นสามารถควบคุมน้ำหนักได้โดยง่าย ทั้งการออกกำลังกายและควบคุมการพฤติกรรมการทานอาหาร
ซึ่งโดยปกติการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะจะทำให้ผู้ป่วยจะสามารถลดน้ำหนักลงได้เฉลี่ยประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ในช่วงแรก และกลับมาออกกำลังได้ตามปกติภายใน 1 เดือน และเมื่อลดน้ำหนักลงมาแล้ว โรคประจำตัวที่มีอยู่ก็อาจจะดีขึ้นหรือหายเป็นปกติได้
วิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดน้ำหนัก
เนื่องจากการผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะคอยให้คำแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดน้ำหนัก พร้อมทั้งคอยติดตามอาการของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด และแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับเรื่องอาหารนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะวางแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารในระยะแรกภายหลังจากการผ่าตัดอย่างเหมาะสม แบ่งออกเป็น 4 ระยะคือ
สัปดาห์ที่ 1 จะให้รับประทานอาหารเหลวใสที่รับประทานได้ง่ายเพื่อปรับสภาพกระเพาะ
สัปดาห์ที่ 2 จะให้รับประทานอาหารที่ข้นขึ้น เช่น ซุป
สัปดาห์ที่ 3 จะให้รับประทานอาหารอ่อนนุ่ม เช่น เยลลี่ คัสตาร์ด ไข่ตุ๋น
สัปดาห์ที่ 4 สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ
หลังจากทำการปรับกระเพาะอาหารเป็นเวลาประมาณ 4 สัปดาห์แล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ โดยเลือกรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เน้นโปรตีน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ได้มีข้อห้ามเป็นพิเศษ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการรักษาจะรับประทานอาหารได้ปริมาณน้อยลง เนื่องจากกระเพาะมีขนาดเล็กลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ทำการผ่าตัดกระเพาะแล้ว เราก็ควรจะดูแลและทานอาหารอย่างพอดี เพื่อไม่ให้กลับมาอ้วนอีก และสำหรับคนที่กำลังจะไปผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก แอดมินแนะนำทานหยุนหนาน เหล่งเอี๊ยงและบัวบก เริ่มทานก่อนและหลังทำ เพื่อลดอักเสบ ช่วยสมานแผลภายในและภายนอก ทำให้แผลหายไวขึ้น
หากสนใจติดต่อ สอบถาม ร้าน Surgery Care ได้เลยค่ะ โทร 097-4475573 หรือแอดไลน์ @surgerycare (มี @ ด้วยนะคะ) และหากต้องการใช้ด่วนทางร้านมีบริการส่งแมสทั้ง กทมและปริมณฑล ค่าบริการคิดตามจริงค่ะ
ในปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้คนเราออกกำลังกายน้อยลง และบริโภคอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนโดยไม่รู้ตัว ปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก จึงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องเผชิญ แม้การลดน้ำหนักด้วยวิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็มีคนอีกหลายคน ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีปกติ ดังนั้น การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก จึงเป็นสิ่งที่กลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในยุคนี้ค่ะ
แม้ชื่อของการผ่าตัดกระเพาะอาหารจะฟังดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนพอ ๆ กับการส่องกล้องผ่าตัดมดลูก หรือนิ่วในถุงน้ำดีเพียงเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ จากหลายสาขามาช่วยกันดูแล เพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จได้อย่างดี และลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น
การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) คืออะไร ?
การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง หรือลดการดูดซึมของกระเพาะอาหาร สามารถเรียกได้ว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน เพราะว่าในกระเพาะอาหารของเรามีฮอร์โมนชนิดนึงที่ทำให้เกิดความอยากอาหาร เมื่อเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลงก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนชนิดนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้ลดลง ก็จะส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงไป การผ่าตัดลดน้ำหนักนี้จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลงมากในช่วงแรก แต่จะไม่ทรมาน เพราะฮอร์โมนและความอยากอาหารก็ลดลงตามไปด้วย
ใครสามารถทำการผ่าตัดลดน้ำหนักได้บ้าง?
ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
มี ภาวะอ้วน หรือมีดัชนีมวลกายสูงกว่า 32.5 กก./ตร.ม. ขึ้นไป
ผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาแล้วแต่ไม่ได้ผล
เป็นผู้ที่ไม่ได้มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้หลังผ่าตัด เช่นเป็นโรคทางจิตเวช
ประโยชน์จากการรักษาโรคอ้วนโดยการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
เมื่อไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีปกติ การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีความปลอดภัย วิธีนี้เป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเป็นสากล และถือเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้ป่วยโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักลงมาได้ และหลังจากการผ่าตัดแล้ว ก็จะทำให้ผู้ป่วยนั้นสามารถควบคุมน้ำหนักได้โดยง่าย ทั้งการออกกำลังกายและควบคุมการพฤติกรรมการทานอาหาร
ซึ่งโดยปกติการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะจะทำให้ผู้ป่วยจะสามารถลดน้ำหนักลงได้เฉลี่ยประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ในช่วงแรก และกลับมาออกกำลังได้ตามปกติภายใน 1 เดือน และเมื่อลดน้ำหนักลงมาแล้ว โรคประจำตัวที่มีอยู่ก็อาจจะดีขึ้นหรือหายเป็นปกติได้
วิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดน้ำหนัก
เนื่องจากการผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะคอยให้คำแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดน้ำหนัก พร้อมทั้งคอยติดตามอาการของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด และแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับเรื่องอาหารนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะวางแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารในระยะแรกภายหลังจากการผ่าตัดอย่างเหมาะสม แบ่งออกเป็น 4 ระยะคือ
สัปดาห์ที่ 1 จะให้รับประทานอาหารเหลวใสที่รับประทานได้ง่ายเพื่อปรับสภาพกระเพาะ
สัปดาห์ที่ 2 จะให้รับประทานอาหารที่ข้นขึ้น เช่น ซุป
สัปดาห์ที่ 3 จะให้รับประทานอาหารอ่อนนุ่ม เช่น เยลลี่ คัสตาร์ด ไข่ตุ๋น
สัปดาห์ที่ 4 สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ
หลังจากทำการปรับกระเพาะอาหารเป็นเวลาประมาณ 4 สัปดาห์แล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ โดยเลือกรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เน้นโปรตีน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ได้มีข้อห้ามเป็นพิเศษ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการรักษาจะรับประทานอาหารได้ปริมาณน้อยลง เนื่องจากกระเพาะมีขนาดเล็กลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ทำการผ่าตัดกระเพาะแล้ว เราก็ควรจะดูแลและทานอาหารอย่างพอดี เพื่อไม่ให้กลับมาอ้วนอีก และสำหรับคนที่กำลังจะไปผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก แอดมินแนะนำทานหยุนหนาน เหล่งเอี๊ยงและบัวบก เริ่มทานก่อนและหลังทำ เพื่อลดอักเสบ ช่วยสมานแผลภายในและภายนอก ทำให้แผลหายไวขึ้น
หากสนใจติดต่อ สอบถาม ร้าน Surgery Care ได้เลยค่ะ โทร 097-4475573 หรือแอดไลน์ @surgerycare (มี @ ด้วยนะคะ) และหากต้องการใช้ด่วนทางร้านมีบริการส่งแมสทั้ง กทมและปริมณฑล ค่าบริการคิดตามจริงค่ะ