แชร์ประสบการณ์ครับ

Sodasilly

สมาชิกใหม่
Registered
เข้าร่วม
20 พฤษภาคม 2016
ข้อความ
3
1.อยากให้ช่วยแนะนำตัวหน่อยคะ
ชื่อตั๋งนะครับ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับงานอีเว้นท์และงานเบื้องหลังวงการบันเทิง และก็เปิดร้านสเต็ก

2.เห็นบอกกว่าจากการแก้จมูกถึงสองครั้ง ไม่ทราบว่าปัญหาเป็นอย่างไร
ที่จริงผมไม่อยากจะค่อยจะเราให้ใครฟัง แต่คิดไปคิดมาสิ่งที่ผมได้ประสบมาอยากเป็นตัวอย่างให้ใครที่คิดจะศัลยกรรมอีกหลายคน
เดิมที่ผมเสริมจมูกได้ประมาณ 4 ปีแล้วจากหมอชื่อดัง แต่การศัลยกรรมในครั้งนั้นมันยังไม่ทำให้ผมพอใจ
ผมจึงต้องการที่จะแก้ไขมันใหม่ จนพี่ในวงการที่รู้จักแนะนำให้รู้จักคลีนิคหนึ่งขอสงวนนามล่ะกัน เมื่อผมดูเคสที่ผ่านมาของคลีนิคนี้ก็ถือว่าโอเคนะ เพราะได้เห็นของจริงจากคนที่รู้จัก
ผมจึงได้ตกลงจะแก้ที่นี่ ทำวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2558 3 วันก่อนคลีนิคจะหยุดปีใหม่ หลังทำก็อาการก้เหมือนคนทำศัลยกรรมใหม่คือเจ็บปวด วันจันทร์ที่ 28 มันรู้สึกปกติตรงที่มาแสบร้อนผิดปกติ
เลยถามไปทางคลีนิคว่าปกติไหม ได้รับคำตอบว่าปกติ ผ่านมาวันพฤหัสที่ 31 แกะเผือกมาคือจมูกมันพังไปแล้ว อักเสบมาก มีส่วนที่ม่วงแล้ว และส่วนที่เหมือนสิวอักเสบ

3.แล้วได้ติดต่อไปทางคลินิคหรือไม่คะ และทางคลีนิครับผิดชอบอย่างไร
ผมได้พยายาม ต้องบอกว่าพยายามคือโทรหาเข้าของยากมากผมได้พยายามติดต่อไปทุกวิถีทาง ในหลายๆคนของคลีนิค สุดท้ายแจ้งผมกลับมาว่า ให้มาถอดออกว่าที่ 4(วันทำการคลีนิค) คืออีก 5 วันถัดไป
คือความรู้สึกตอนนั้นคือมันแย่มาก ใจมันไม่อยู่แล้วมันอยู่ดีๆหน้าพังและรู้เลยว่าจมูกจะไม่กลับมาเป็นแบบเดิมแล้ว ส่วนทางคลีนิคแล้วไม่มีการแทคแคร์อะไรเลยระหว่างนั้น แล้วการติดต่อแต่ละครั้งนึกว่าโทรไปขอส่วนบุญเขา
ระหว่างนั้นผมได้ไปในหลายๆคลีนิคเพื่อรักษา แต่ที่ทำได้คือหมออื่นคือรักษาอาการอักเสบ ส่วนเรื่องซิลิโคนหมออื่นเขาก็ไม่อยากยุ่ง เขาแนะนำให้ปรึกษาหมอเจ้าของเคสดีกว่า
สรุปคลีนิคบอกว่าเป็นสิวคงแพ้เผือกจมูก ผมก็โอเคตามนั้น ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่มันไม่ใช่สิวมันอักเสบมาจากข้างในในส่วนเนื้อเยื่อเทียมทั้งหมด
แต่ผมด้วยก็ใจดี ไม่อยากอะไรมาก ถือว่าเราโชคไม่ดี เคสอย่างนี้คงไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่อยากจะตัดอนาคตใคร
อ่อแต่ทางคลีนิคบอกกับผมว่าสาเหตุคือผมไม่ยอมไปฉีดฆ่าในวันที่ 27,28 มันเลยอักเสบ ก็คิดนะคือมันไม่คลีนขนาดนั้นเลยรึที่ต้องอินเจทแอนตี้เซฟติกโอเว่อร์โดสทุกวันหรอ ทั้งๆที่ยากินก็แรงแล้ว
มันก็ไม่เข็ดนะถามหมอว่าแก้ไวที่สุดตอนไหน หมอบอก 1เดือน ก็โอเคนะ เพราอยากแก้ไวๆเหมือนกันหลังจากถอดจมูกจมูกพังมาก จิตตกมาก เป็นแผลเป็นนูนด้านขวา(ตรงที่หนองอักเสบ) แผลหลุมด้านซ้าย(ตรงที่ห้อเลือดที่ม่วง)
พอครบ1เดือน หมอบอกขออีก1เดือน ผมก็โอเค ถึงผมอยากแก้ให้ไวแต่ก็ต้องปลอดภัย ไม่ได้ดึงดันจะแก้ให้ได้ สรุปแก้ต้นเดือน มีนาคม

4.สรุปว่าได้แก้ใหม่ต้นมีนาคม อย่างไรทราบครั้งนี้เป็นอย่างไร และทำไมถึงตัดสินใจกลับไปแก้ที่เดิม ทั้งที่ครั้งก่อนก็มีปัญหา

ครั้งนี้เจ็บมาก เพราะส่วนที่เป็นแผลนูนยาไม่ชา ผมต้องทนทำทั้งๆที่จมูกไม่ชา คือทรมาณมาก แต่ทำไงได้มันผ่าไปแล้ว ถอยหลังก็ไม่ได้ หมอก็พยายามเติมยาให้ แต่มันก็ไม่ชา เพราะมันฉีดไปเข้าเนื้อเยื่อหรอก
หลังจากทำเสร็จ ถามหมอว่าจะเหมือนเดิมไหม แผลที่ยุบไปจะดีขึ้นไหม ได้คำตอบคือดีกว่าเดิม หายแน่นอน
แผลครั้งนี้หายไวมาก แต่ปลายจมูกแดงคล้ำ หมอก็บอกว่าเพราะตัดพังผืดเยอะ มันเลยอักเสบนาน แต่เริ่มสังเกตุว่ามันบวมไปข้างนึง สี่ห้าวันหลังทำ อ้าวเบี้ยวซิลิโคนเบี้ยวไปทางซ้าย ดันเนื้อจะทะลุ
คือติดต่อเจ้าของยากอีกแล้ว วันสองวันมั้ง เขาพูดกับผมว่าทำไม่ได้เคยเจอเคสแบบนี้ เขาจะรับผิดชอบด้วยก็คืนเงินทั้งหมดให้ผม พูดเหมือนจะปัดความรับผิดชอบ คือผมโกรธมากนะตอนนั้น
คือจมูกเราพัง สุดท้ายก็ต้องถอดออกอีกครั้ง และที่ตัดสินใจแก้ที่เดิมคืออยากให้โอกาสนะคิดว่าเครสแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราคงโชคไม่ดีเอง แต่ที่ไหนได้ ครั้งที่สองก็กลับแย่กว่าเดิม

5.ตอนนี้สภาพแผลดีขึ้นบ้างหรือไม่
ส่วนแผลหลังจากถอดจมูกครั้งนี้ หมอหลายๆหมอ ลงไว้ว่า"จมูกพิการ"ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ คือมันที่สุดของที่สุดแล้วอ่ะ
ที่ผ่านมาผมรักษาตัวเองทั้งหมดได้ได้รับการช่วยเหลือจากคลีนิคเลย ที่ไหนว่าดีหมอไหนที่ว่าดีไป ยาไหนช่วย เลเซอร์ที่ว่าดีทำ รักษาทุกวิธี มันหมดไปเยอะมากตั้งแต่รักษาการอักเสบ และฟื้นฟูไม่ให้มันแย่ลง คงไม่ต้องบอกมั้งว่าหมดไปเท่าไหร่
เดือนที่แล้วอยู่ๆก็เจ็บต้องแผลเย็บ ซึ่งตัดไหมไปแล้ว ปรากฎว่ามันมีไหมค้างอยู่และเย็บเข้าไปลึกด้วย คืองงว่าเย็บแผลให้ยังไง เย็บแผลซ้อนกัน (คือเย็บไหมแรกแล้วแล้วดึงอีกส่วนมาเย็บทับไปอีก ) มันอักเสบก็ตกใจว่าทำไมทำกันอย่างนี้
แผลส่วนที่ยุบเข้าไปข้างในสามถึงสี่มิลลิเมตรได้กว้างประมาณ 5มิลมิเมตร แผลส่วนที่ดันจะทะลุคือ เนื้อส่วนใหญ่ตาย กลายเป็นหลุมลึก แผลหนองจากคราวที่แล้วเป็นแผลนูนแดงเบี้ยวไปอีกข้าง
ผมก็ยังใจดีนะไม่ว่าอะไรคลีนิค ไม่ฟ้องไม่อะไรทั้งนั้น ล่าสุดสอบถามไปทางเจ้าของคลีนิคว่าช่วยซับซีชั่นแผลตรงที่เย็บได้ไหม(หมออื่นไม่ยังไม่อยากยุ่งกับแผล) สรุปคือเงียบเหมือนเดิม นี่แหล่ะที่เรียกว่าความรับผิดชอบของทางคลีนิค

6.แล้วสภาพจิตใจล่ะคะ
เชื่อไหมห้าเดือนที่ผ่านมาผมไม่ออกไปไหนเลยที่คนเยอะๆ มันมันแย่ มันอาย อยู่อย่างทรมาณจิตใจสุดๆ ทั้งสายตาคนอื่น สายตาคนรอบข้าง เสียงนินทาจากคนต่างๆ
ผมรู้ว่าครั้งผมพลาดมาก มันเป็นศัลยกรรมอย่างเดียวที่ผมทำกับร่างกาย แล้วทีมันแย่คือเป็นคนมีจมูกอยู่แล้ว ก็ถือว่าจมูกสวยในระดับนึงเลย แต่ไม่พอใจในตัวเองไง ผลเลยเป็นแบบนี้
ในตอนนี้ที่ทำได้คือพยายามฟื้นฟูสภาพเนื้อให้ดีที่สุด รอวันที่พร้อมจะแก้ไขให้จมูกเป็นจมูก ต่ำๆตีไว้ว่า 1-2ปี ถามว่าตอนนี้เป็นยังไงก็ไม่โอเคนะ แต่ก็เข้าใจมัน ยอมรับมัน และอยู่กับมันให้ได้
ที่ทุกข์ก็ลดน้อย แต่ใจมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วล่ะ ความมั่นใจในหน้าตาอย่าถามถึงเลยไม่เหลือ
แต่ในความมืดมันก็ดีนะ ทำให้เรามองเห็นคนที่คุยกับที่ใจจริงๆ มองเห็นคนที่ห่วงใย อย่างที่บอกธรรมชาติจะบอกใครรู้สึกกับเรายังไงเมื่อถึงเวลา

7.เพราะอะไรถึงตัดสินใจไม่เอาเรื่องคลินิคที่ทำให้เราเกิดปัญหานี้
บอกตรงๆตอนแรกผมตั้งใจจะฟ้อง วันนั้นพอวางสายจากทางคลีนิค ผมโทรหาทนายทันที พอคุยกับทนายก็รวบรวมหลักฐาน แต่ด้วยความใจดีของเราแหล่ะ พออารมณ์เย็นลงก็สงสาร ช่างมันว่ะ
ประกอบกับคลีนิคโทรมาขอโทษแล้วบอกว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี ก็โอเค สุดท้ายก็อย่างที่เห็นหายตัว รักษาเองทุกอย่าง

8.ในอนาคตถ้าแผลดีขึ้นคิดอยากจะทำศัลยกรรมอีกครั้งหรือไม่
แน่นอนครับ ช่วงนี้ก็ไปปรึกษาหลายที่ พิจารณาจากประสบการณ์ของแพทย์ และความเชี่ยวชาญของแพทย์ของสามารถแก้ไขปัญหาให้เราได้ไหม แต่คงอีกสักพักคงต้องปั้มเงินใหม่เพราะที่ผ่านมาหมดไปเยอะอยู่เหมือนกัน

9.สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงคนที่คิด อยากจะศัลยกรรมบ้างค่ะ
คือเล่าประสบการณ์ของผมในครั้งนี้ ผมไม่ต้องการดิสเครดิตใครนะ แต่ต้องการแชร์ประสบการณ์ให้ผู้ที่ต้องศัลยกรรมให้ระวังและพิจารณาให้ดีก็ตัดสินทำ
เพราะจงจำไว้เมื่อเริ่มทำอะไรกับใบหน้าร่างกายแล้วไม่ว่าตัด เย็บ ผ่า ฉีด ดูด มันจะไม่สามารถทำให้กลับมาเหมือนเดิมได้อีก
เมื่อตัดสินใจก็ต้องยอมรับผลของมัน ซึ่งมีทั้งดีแล้วร้ายให้ได้
และอยากจะฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดี๋ยวนี้คลีนิคศัลยกรรมเยอะมาก เรามีอะไรที่เป็นเครื่องมือในการควบคุม ความสะอาด ความปลอดภัยของคนไข้อยู่ที่ไหน บ้างใบอนุญาตปลอม บ้างใบเซอร์ปลอม บ้างโปรดักส์ปลอม บ้างยาปลอม วอนหน่วยงานช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย
สุดท้ายก็ฝากไปยังคลีนิคต่างๆ เรื่องจรรยาบรรณคงไม่ต้องพูดถึง แต่ต้องคำนึงมากกว่านั้นคือสามัญสำนึกไม่ว่าจะเป็นเครสใดก็ตาม คลินีคต้องควรนึงถึงความปลอดภัยและใส่ใจเป็นลูกค้าให้มากไม่ใช่คิดเป็นยอดกำไรขาดทุน สำนึกให้เหมือนที่รู้สึกกับใบหน้าตนเอง
 
รูปครับ
 

ไฟล์แนบ

  • image.jpeg
    image.jpeg
    565.5 KB · ดู: 0
  • image.jpeg
    image.jpeg
    640.4 KB · ดู: 0
  • image.jpeg
    image.jpeg
    614.7 KB · ดู: 0
กลับ
บน ล่าง