10 ความเชื่อเกี่ยวกับสมองของเรา

เจตนา

Junior Member
Registered
เข้าร่วม
20 กุมภาพันธ์ 2014
ข้อความ
14
10 ความเชื่อเกี่ยวกับสมองของเรา สมองมนุษย์เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่สุดที่ธรรมชาติมี ประกอบไปด้วย neuron กว่าแสนล้านเซลล์ ทำหน้าที่แทบทุกอย่างที่คนเราทำ ตั้งแต่คิด จำ สั่งการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆ หลั่งสาร ฯลฯ ถึงศาสตร์ที่ศึกษาด้านสมองจะมีอยู่มากมาย (neuroscience, cognitive science, psychology, psychiatry) ศาสตร์เหล่านั้นก็ยังใหม่ และองค์ความรู้ทางด้านสมองก็ยังจำกัดอยู่มาก ยังมีความเชื่อหลายๆ อย่างที่เชื่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลและยังคงฝังหัวอยู่จนถึงปัจจุบัน …
10 . สมองของเรามีสีเทา
  • เคยอ่าน Atlas Anatomy ทั้งหลายมั๊ย? มันเป็นหนังสือที่หลากสีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติ ตั้งแต่แดง น้ำเงินและม่วงของเลือด น้ำเหลืองสีเหลืองอ๋อยจนทาฝาบ้านได้ และสมองที่สีออกเทาๆ หม่นๆ แถมด้วยสมองกำซาบหรือสมองดองที่ขวดโหล ซึ่งถ้าไม่มีสีขาวอมเหลืองซีดๆ ก็จะมีสีเทาแต่ความจริงแล้วสมองของคนปกติที่ยังทำงานอยู่ นอกจากสีเทาหม่นๆ นั่นแล้ว ยังมีสีตั้งแต่สีขาว ดำ และแดง เช่น เดียวกับหลายๆ ความเชื่อของสมองที่เราจะพูดถึงต่อไป
  • ความเชื่อนี้ก็มีส่วนจริงอยู่มาก เพราะส่วนใหญ่ของสมองมีสีเทา บางครั้งเราเรียกสมองทั้งก้อนว่า gray matter เพราะมันปรากฏอยู่ทั่วบริเวณของสมองและไขสันหลัง ประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด เช่น neuron9.ฟังเพลงโมสาร์ททำให้คุณฉลาดขึ้น
  • ไม่รู้ว่า สมัยพ่อแม่เราเปิดโมสาร์ทให้เราฟังด้วยรึเปล่า แต่ตอนนี้มันเป็นธุรกิจที่บูมมาก พ่อแม่มือใหม่หลายคู่เปิดโมสาร์ท (ใช่ครับ ที่เค้าว่าต้องปีนกระไดฟังนั่นแหละ) ให้ทารกที่เผลอๆ ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำของเขาฟัง ด้วยหวังว่าจะช่วยให้ฉลาดขึ้น! มีแม้กระทั่งซีดีเพลงคลาสสิกที่ทำขึ้นเพื่อเปิดให้ตัวอ่อนนครรภ์ฟัง! (มีหูรึยังเนี่ย!) ถึงขั้นตั้งกันเป็นเรื่องเป็นราวว่า the Mozart effect แล้วมันเริ่มจากตรงไหนล่ะ
  • ประมาณปี 195X หมอหู คอ จมูก นาม อัลเบิรต์ โทมาทิส เริ่มความเชื่อนี้ อ้างว่าเค้าใช้เพลงของศิลปินระดับโลกช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด และการได้ยิน 199X การศึกษาที่ the University of California at Irvine บอกว่านักศึกษา 36 คน (จากเท่าไหร่ไม่รู้) ทำคะแนนทดสอบ IQ ได้ดีขึ้น 8 แต้ม (เช่นเคย เต็มเท่าไหร่?) หลังจากฟังโมสาร์ท 10 นาที และนี่ คือจุดเริ่มต้นของ Mozart effect เล่นเอาธุรกิจพวกนี้มีขึ้นมา ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ป่าวประกาศว่าใครฟังเนี่ยฉลาดขึ้น!
  • แต่ Dr. Frances Rauscher อาจารย์จาก University of California at Irvine ก็มาแย้งว่าเราไม่ได้บอกว่าฟังแล้วฉลาดขึ้น แค่ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับฟังบางส่วนเท่านั้น
8. ตีนกาขึ้นสมอง เมื่อได้ลองรู้สิ่งใหม่
  • “นังโง่! สมองแกมีรอยหยักบ้างไหมฮึ” ตรรกะง่ายๆ สมองหยักเยอะ = ฉลาด ความจริงแล้วสมองมนุษย์วิวัฒนาการให้มีรอยหยัก เกิดจากการพับทบเนื้อสมองเพื่อทำให้มันมีขนาดกะทัดรัดพอที่จะบรรจุลงกะโหลกของเราได้ มันช่วยเราให้ไม่กลายเป็น ET ไปซะก่อน! ถ้าเราปล่อยให้มันคลายรอยพับออก สมองอาจมีขนาดเท่าหมอนหนุน
  • เราเรียกขดสมองที่ยื่นออกมาว่า gyri และร่องที่ลึกลงไปว่า sulci ทุกหยักและร่องในสมองถึงขั้นมีชื่อที่นักวิจัยสมองที่น่าสงสารต้องจำไปสอบ เรา เริ่มจากสมองเล็กที่ราบเรียบตอนแรกของตัวอ่อน แล้วมันก็ขยายขนาดและ neuron ต่างย้ายที่อยู่ เกิดเป็น gyri และ sulci ขึ้น ภายในสัปดาห์ที่ 40 สมองของเราก็มีริ้วรอยแห่งวัยแบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ เพียงแค่ขนาดเล็กกว่าหน่อย
7. โฆษณาแฝงในสื่อต่างๆ
  • เคยดูโฆษณามาม่าตอนดูทีวีดึกๆ มั๊ย? คนจัดผังนี่อย่างเลวเลย ดูทีไรได้เดินเข้าครัวทุกที นั่นมันโฆษณาชัดแจ้ง เห็นจะๆ แล้วถ้าเป็นโฆษณาที่เราเห็น สมองประมวลผล แต่เราไม่รับรู้ภาพนั้นล่ะ? พูดง่ายๆ ถ้ามันเร็วเกินกว่าที่เราจะรับรู้ได้ว่า เฮ้ย! มันชวนไปกินมาม่า subliminal message เป็นข้อความแฝง
  • เริ่มจากนาย James Vicary นักวิจัยทางการตลาดช่างคิด แทรกข้อความว่า HUNGRY? EAT POPCORN ลงในหนังโต้งๆ แต่มันปรากฎอยู่เพียง 1 ในสามพันวินาที สั้นจุ๊ด แต่ผลแสดงว่าน้ำอัดลมขายดีขึ้นร้อยละ 18 และปอปคอร์นก็เช่นกันที่ร้อยละ 57! เล่นเอานักการตลาดเลียนแบบหมดทั้งในทีวีและวิทยุ (จะใส่เข้าไปยังไง)
6. คนฉลาด เพราะสมองใหญ่
  • นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลก (ออกแนวยกหางตัวเอง) แต่ไม่ได้ยอมรับว่านั่นเป็นเพราะเรามีสมองใหญ่กว่าคนอื่นเขา เฉลี่ยแล้ว สมองคน เท่าๆ กับโลมาที่ว่ากันว่าฉลาดนัก หนักราว 1 จุดต๋อยๆ กิโลกรัม sperm whale ที่ไม่ได้ฉลาดนัก สมองหนักถึง 7.8 กิโลกรัม สุนัขบีเกิล หนักเพียงแค่ 72 กรัมเท่านั้น แต่แน่นอน ตัวใหญ่เท่าวาฬ จะให้สมองเล็กเท่ามดก็กระไรอยู่ เพราะ โลมาปกติหนักเฉลี่ย 160 กิโลกรัม ในขณะที่ sperm whale หนักถึง 13 ตัน (คุณไม่อยากมวยปล้ำกับมันแน่ๆ) ในขณะที่บีเกิลตัวน้อย หนักเพียง 11.3 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้น มันไม่ได้อยู่ที่สมองหนักเท่าไหร่ แต่อยู่ที่สมองหนักเป็นสัดส่วนเท่าไหร่กับคุณต่างหาก และ เมื่อเราพูดถึงความฉลาด มันไม่ได้มีด้านเดียว คุณอาจคิดอะไรได้สารพัด แต่จมูกของคุณก็ยังแยกแยะกลิ่นสารเสพติดในกระเป๋าเดินทางไม่ออกใช่มั๊ยล่ะ ดังนั้นอีกจุดที่สำคัญคือ ส่วนต่างๆ ของสมองนั่นเอง
5. สมองของคุณยังทำงานอยู่ แม้ว่าคุณถูกตัดหัวแล้ว!
  • ในห้วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ กิโยติน เป็นเครื่องมือสังหารที่เป็นที่นิยม แม้ในปัจจุบัน บางรัฐชาติก็ยังใช้มันอยู่ มันนิยมเพราะมันสังหารได้อย่างรวดเร็ว และมีมนุษยธรรมเพียงพอที่เหยื่อจะไม่แม้แต่เจ็บ แต่มันเร็วขนาดไหน ขนาดที่สมองคุณยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ ขนาดที่คุณยังมองเห็น เคลื่อนไหว กลอกตา หรืออะไรก็ตามราวๆ วินาทีหลังถูกแยกชิ้นส่วน ใช่หรือไม่
  • ม่พอใจ (หลอนนะนั่น)Dr. Harold Hillman กล่าวว่าสติอาจจะดับวูบลงภายใน 2-3 วินาทีหลังจากการประหาร เพราะเลือดในสมองลดลงกะทันหัน นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่ากิโยติน ประหารโดยการตัดเอาส่วนที่เชื่อมระหว่างสมองและไขสันหลังพอดี ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ามันไม่เจ็บคงไม่จริงนัก เผลอๆ อาจสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ได้ นี่เป็นเหตุให้เครื่องมือประหารนี้ไม่ได้ใช้ในหลายๆ ประเทศในปัจจุบันนั่นเอง
4. ความเสียหายในสมองจะอยู่กับคุณชั่วนิรันดร์
  • สมองอยู่ ในหัว หัวอยู่เหนือไหล่ ดังนั้นมันเป็นเรื่องง่ายที่จะทำร้ายสมองคุณ เช่นเดินชนเสารถไฟฟ้า ชนประตูกระจกใสกิ๊งหน้าสำนักงาน หรือล้มหัวกระแทกพื้น ลูกบอลจากเด็กนักเรียนอัดกระแทกหัว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างรอยแผลให้สมอง รวมไปถึงการติดเชื้อในสมองด้วย
  • รอยแผลในสมองพวกนี้เป็นอันตรายได้ตั้งแต่การมึนงงเล็กๆ น้อยๆ จนถึงกับอัมพาตเดินไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้อยู่ถาวรเสมอไปนะ การ บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกว่า concussion เกิดจากการที่สมองเคลื่อนอย่างเร็วจนกระแทกกับด้านในของกะโหลก ก้อให้เกิดแผลเลือดออกหรือการฉีกขาดของสมอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สมองสามารถจัดการซ่อมแซมกลับมาดังเดิมได้
  • ดังนั้น ไม่บ่อยนักที่คนเดินชนกระจกจะถึงขั้นพิการตลอดชีวิต แต่ในทางตรงข้าม การบาดเจ็บที่รุนแรงอาจทำให้สมองเสียหายอย่างหนัก อาจเกิดลิ่มเลือดหรือความดันผิดปกติในสมองที่ต้องการการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เกือบจะทุกคนที่ประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรงกับสมองมีการบาดเจ็บที่รุนแรง ถาวร และแก้ไขไม่ได้ แล้วถ้ามันไม่ได้เบา แต่ก็ไม่หนักขนาดนั้นล่ะ ก็ต้องแยกคิดพิจารณา ถ้า neuron บาดเจ็บล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อม แต่ถ้าเสียหายที่ synapse ก็เป็นไปได้ที่จะหายดี (เพราะ synapse สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข และสร้างใหม่ได้ เวลาเรียนรู้)
  • เมื่อการเชื่อมต่อเป็นผล สมองส่วนนั้นก็อาจกลับมาทำงานปกติได้ ทำให้ผู้ป่วยบางคนสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้งหลังการบำบัด อย่างที่ บอก เรารู้อะไรเกี่ยวกับสมองน้อยมาก ทุกวันนี้แพทย์อาจต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าคนไข้ของเขากลับมาขยับตัวได้ พูดคุยได้เป็นปกติหลังการบำบัดที่สิ้นหวังนานนับปี นี่คือความมหัศจรรย์ของสมองคน!
3. ใช้ยาผิดพลาด สมองอาจเป็นรู
  • ผลข้างเคียงจาก การใช้ยายังเป็นถกเถียงกันมาก บางคนเชื่อว่ามีเพียงยาบางตัวที่รุนแรงเท่านั้นที่ส่งผลเสียกับสมอง ในขณะที่อีกพวกกลับเชื่อว่าไม่ว่ายาใดก็ตาม ทันทีที่คุณ take มันเข้าไป มันสร้างความเสียหายทันที
  • แต่เหตุที่สมองได้รับผลจากยาบางตัว ทั้งชั่วคราวและถาวรก็เพราะมันส่งผลต่อ neurotransmitter ซึ่งเป็นสารเคมีที่ส่งต่อข้อมูลระหว่างสมอง ในบางกรณี การเปลี่ยนเปลงระดับของ neurotransmitter อย่างเฉียบพลันอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับ neuron ซึ่งแก้ไขได้หรือไม่ ยังคงถกเถียงกันอยู่
  • ในทางตรงกันข้าม ยังมีอีกงานวิจัยหนึ่งในปีนี้แสดงว่ายาบางชนิดขยายขนาดของสมองให้ใหญ่ขึ้น อย่างถาวร และอ้างว่านี่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการติดยา สรุปง่ายๆ ไม่ว่ายาจะทำให้สมองใหญ่ขึ้นจนติดยาหรือไม่ มันไม่มีทางทำให้สมองคุณเป็นรูโบ๋ได้
2.แอลกอฮอลล์สามารถทำให้เซลล์สมองตาย
  • กินเหล้า แล้วเมา เมาแล้วเดินไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง ตอบสนองช้า ปวดหัว มึน อาเจียน คลื่นไส้ อาการทั้งหมดควบคุมโดยสมอง ดังนั้นเหล้าทำให้สมองตาย จริงเหรอ? ไม่ หรอก แม้จะเป็นนักดื่มตัวยง ก๊งกันเช้าเย็น เหล้าก็ไม่อาจทำให้เซลล์สมองตายได้ แต่มันสามารถทำร้ายปลายด้านหนึ่งของเซลล์สมอง เรียกว่า dendrite เป็นเหตุให้การสื่อข้อมูลระหว่างแต่ละเซลล์เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น และความเสียหายนี้สามารถกลับเป็นปกติได้ ที่เราเรียกกันว่าสร่างเมานั่นเอง
  • อย่างไรก็ตามผู้ดื่มมากๆ จนได้รับพิษแอลกอฮอลล์มากเกินไปอาจเกิดโรคชื่อยาวว่า Wernicke-Korsakoff syndrome ซึ่งทำให้ neuron บางส่วนเสียหาย ส่งผลให้ความจำมีปัญหา มึนงง ดวงตาขยับไม่ได้เป็นปกติ การทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อผิดพลาด และความจำเสื่อม ท้ายที่สุด อาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้
  • แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอลล์อย่างเดียวหรอก แต่เกิดจากการขาด thaimine หรือวิตามิน บี ชนิดหนึ่งร่วมด้วย ซึ่งคนติดเหล้าส่วนมากก็ไม่มีเงินพอจะซื้อข้าวกล้องกินหรอกนะ และแอลกอฮอลล์ยังยับยั้งการดูดซึม thaimine อีกด้วย ดังนั้น แอลกอฮอลล์อาจไม่ได้ฆ่าเซลล์สมองโดยตรงง แต่มันก็อันตรายอยู่ดีถ้าคุณดื่มมันเข้าไปมากพอ
1. คนเราใช้สมองแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ
  • สุดยอดความเชื่อแห่งปี เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินแล้วก็คิดว่า เสียดายจัง น่าจะใช้งานได้มากกว่านี้ เราจะได้ฉลาดขึ้นอีกเยอะ แล้ว ความเชื่อนี้เริ่มจากที่ไหนล่ะ หลายคนเชื่อว่าเป็นคำพูดของ William James นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเขาแค่พูดว่า “คนทั่วไปใช้สมองเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น” อานุภาพของปากต่อปากยิ่งใหญ่เสมอ สุดท้ายจึงกลายเป็น “คนเราใช้สมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์”
  • ประเด็น ที่ควรจะคิดคือ ในเมื่อสมองขี้เกียจขนาดทำงานแค่หนึ่งในสิบ แล้วทำไมมันตะกละเอาพลังงานไปตั้งตั้งหนึ่งในห้าของที่ร่างกายรับ (วะ?) แล้วเราจะมีสมองใหญ่ๆ กว่า sperm whale หรือหมาบีเกิลทำไมถ้าเราไม่ได้ใช้มันเต็มที่ บางคนถึงขั้นเชื่อว่าคนที่ใช้อีก 90 เปอร์เซ็นต์ได้คือผู้มีพลังจิต! (โอ้ว! จอร์จ)
  • เรื่องของเรื่องคือ สมองมีเซลล์ตั้งหลายเซลล์ทำงานอยู่ร่วมกัน ไปพร้อมๆ กัน นั่นทำให้เราอาจถึงพิการได้แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยในสมอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้สมองได้เล็กน้อยถึงเพียงนั้น
ที่มา www.mthai.com
 
กลับ
บน ล่าง