การเสริมจมูกในปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ แต่ถ้าเสริมออกมาแล้วมีผลข้างเคียงนี่สิ เราอยากจะกรี๊ดดดด แล้วก็ได้กรี๊ดจริงๆค่ะ เพราะประมาณ 6 เดือนที่แล้ว เราได้ไปเสริมจมูกที่คลินิกแห่งหนึ่งในราคาที่ไม่แพงมาก (ส่วนหนึ่งเราเห็นว่าถูกจึงเลือกทำที่คลินิกแห่งนั้น) ตอนที่เราไปเสริมนั้น เราเลือกเสริมแบบซิลิโคนนิ่ม อเมริกา จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการผ่าตัดก็เป็นการผ่าตัดเสริมจมูกเหมือนที่คลินิกอื่นๆ ทั่วไป
ซึ่งหลังจากผ่าตัดนั้น ในช่วงแรกๆ จมูกเราก็ดู โด่งและสวยดีค่ะ เราชอบซะด้วยซ้ำ แต่พอผ่านไปประมาณ 4 เดือน เราสังเกตว่าจมูกของเรามันเริ่มเบี้ยว เราจึงรีบไปที่คลินิกเพื่อให้หมอดูแต่หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะเดิมฐานจมูกเราเอียงอยู่แล้ว (ในใจเราคิด อ้าว!! แล้วก่อนทำ ทำไมหมอไม่บอก)
หลังจากนั้นหมอก็ดูๆ จับๆ ที่จมูกเรา แล้วก็ให้รออีกซักพัก ดูว่ามันจะเบี้ยวกว่านี้อีกมั้ย (คือตอนนั้นยังเบี้ยวไม่มากถ้าไม่สังเกตก็ดูไม่รู้) แต่ถ้าเบี้ยวไปมากว่านี้ ต้องมาผ่าตัดแก้ใหม่ (ไม่ได้แก้ฟรีๆนะคะ แถมต้องเสียเงินเพิ่มอีกด้วย)
พอผ่านไปอีกประมาณ 1 เดือน จมูกเรามันเอียงอย่างเห็นได้ แบบว่าน่าเกลียดมาก คือต้องแก้ด่วนนน!!! แต่ถ้าจะให้กลับไปแก้ที่เดิมนั้น เราคงขอบายยยค่ะ เราของเลือกทำที่ใหม่ดีกว่า ไหนๆ ก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน
แหละนี้เป็นรูปจมูกของเราเองค่ะ
จมูกเราเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ปลายจมูกดูเป็นชั้นๆ เห็นเป็นรูปซิลิโคนเลย แต่ถ้ามองด้านข้างจมูกจะดูไม่ค่อยเบี้ยวค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เริ่มหาข้อมูล คลินิกต่างๆ เพื่อที่จะแก้จมูก (แต่คราวนี้คงเลือกที่คุณภาพมากกว่าราคาเพราะกลัวออกมาแล้วแย่กว่าเดิม) รวมไปถึงถามเพื่อนๆ และคนรอบข้างเราด้วยว่าทำที่ไหนดี หรือ ใครไปทำที่ไหนแล้วออกมาดี สรุปก็เลือกทำคลินิกแถวๆ ทองหล่อ ชื่อว่าเอเมด คลินิก เพราะเห็นว่ามีดาราไปทำกันเยอะ และอีกอย่างถ้าทำไม่ดีดาราพวกนั้นคงออกมาโว้ยวายกันแล้วแหละค่ะ แต่เท่าที่ได้ศึกษามายังไม่มีนะคะ เราจึงมั่นใจในระดับหนึ่ง ส่วนคุณหมอที่แก้จมูกให้เรานั้นคือคุณหมอเปิ้ลค่ะ
เราเริ่มจากโทรไปปรึกษาคราวๆ ทางโทรศัพท์ แล้วก็นัดคิวเข้าพบคุณหมอ ซึ่งตอนที่พบคุณหมอเปิ้ลเห็นจมูกเรานั้น คุณหมอยังตกใจเลยว่าทำไมจมูกมันเบี้ยวมากขนาดนั้น แต่คุณหมอก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงเพราะสามารถแก้ไขได้ เราเนี๋ยดีใจแบบสุดๆ Jแล้วก็นัดวันที่จะเข้ามาทำการแก้จมูกค่ะ
วันที่เข้ามาแก้จมูกนั้น คุณหมอเปิ้ลก็นำปากกาเมจิ มาวาดที่จมูกเรา ทำให้เราเห็นชัดเลยว่าจมูกเราเบี้ยวมากขนาดไหน แล้วคุณหมอก็ค่อยอธิบายให้ฟังอยู่ตลอดเลยค่ะ
พอพูดคุยเรื่องรูปทรงจมูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็ทำการผ่าตัดแก้จมูก ด้วยขั้นตอนต่างๆ ของหมอ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือปวดอะไรเลยนะ อาจเป็นเพราะยาชาด้วยแหละ ส่วนซิลิโคนคุณหมอก็เปลี่ยนให้ใหม่ แต่ยังเป็นซิลิโคนนิ่ม อเมริกาเหมือนเดิมนะคะ เพราะดูเป็นธรรมชาติ และหน้าดูไม่แข็ง
ซึ่งหลังจากผ่าตัดนั้น ในช่วงแรกๆ จมูกเราก็ดู โด่งและสวยดีค่ะ เราชอบซะด้วยซ้ำ แต่พอผ่านไปประมาณ 4 เดือน เราสังเกตว่าจมูกของเรามันเริ่มเบี้ยว เราจึงรีบไปที่คลินิกเพื่อให้หมอดูแต่หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะเดิมฐานจมูกเราเอียงอยู่แล้ว (ในใจเราคิด อ้าว!! แล้วก่อนทำ ทำไมหมอไม่บอก)
หลังจากนั้นหมอก็ดูๆ จับๆ ที่จมูกเรา แล้วก็ให้รออีกซักพัก ดูว่ามันจะเบี้ยวกว่านี้อีกมั้ย (คือตอนนั้นยังเบี้ยวไม่มากถ้าไม่สังเกตก็ดูไม่รู้) แต่ถ้าเบี้ยวไปมากว่านี้ ต้องมาผ่าตัดแก้ใหม่ (ไม่ได้แก้ฟรีๆนะคะ แถมต้องเสียเงินเพิ่มอีกด้วย)
พอผ่านไปอีกประมาณ 1 เดือน จมูกเรามันเอียงอย่างเห็นได้ แบบว่าน่าเกลียดมาก คือต้องแก้ด่วนนน!!! แต่ถ้าจะให้กลับไปแก้ที่เดิมนั้น เราคงขอบายยยค่ะ เราของเลือกทำที่ใหม่ดีกว่า ไหนๆ ก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน
แหละนี้เป็นรูปจมูกของเราเองค่ะ
จมูกเราเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ปลายจมูกดูเป็นชั้นๆ เห็นเป็นรูปซิลิโคนเลย แต่ถ้ามองด้านข้างจมูกจะดูไม่ค่อยเบี้ยวค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เริ่มหาข้อมูล คลินิกต่างๆ เพื่อที่จะแก้จมูก (แต่คราวนี้คงเลือกที่คุณภาพมากกว่าราคาเพราะกลัวออกมาแล้วแย่กว่าเดิม) รวมไปถึงถามเพื่อนๆ และคนรอบข้างเราด้วยว่าทำที่ไหนดี หรือ ใครไปทำที่ไหนแล้วออกมาดี สรุปก็เลือกทำคลินิกแถวๆ ทองหล่อ ชื่อว่าเอเมด คลินิก เพราะเห็นว่ามีดาราไปทำกันเยอะ และอีกอย่างถ้าทำไม่ดีดาราพวกนั้นคงออกมาโว้ยวายกันแล้วแหละค่ะ แต่เท่าที่ได้ศึกษามายังไม่มีนะคะ เราจึงมั่นใจในระดับหนึ่ง ส่วนคุณหมอที่แก้จมูกให้เรานั้นคือคุณหมอเปิ้ลค่ะ
เราเริ่มจากโทรไปปรึกษาคราวๆ ทางโทรศัพท์ แล้วก็นัดคิวเข้าพบคุณหมอ ซึ่งตอนที่พบคุณหมอเปิ้ลเห็นจมูกเรานั้น คุณหมอยังตกใจเลยว่าทำไมจมูกมันเบี้ยวมากขนาดนั้น แต่คุณหมอก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงเพราะสามารถแก้ไขได้ เราเนี๋ยดีใจแบบสุดๆ Jแล้วก็นัดวันที่จะเข้ามาทำการแก้จมูกค่ะ
วันที่เข้ามาแก้จมูกนั้น คุณหมอเปิ้ลก็นำปากกาเมจิ มาวาดที่จมูกเรา ทำให้เราเห็นชัดเลยว่าจมูกเราเบี้ยวมากขนาดไหน แล้วคุณหมอก็ค่อยอธิบายให้ฟังอยู่ตลอดเลยค่ะ
พอพูดคุยเรื่องรูปทรงจมูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็ทำการผ่าตัดแก้จมูก ด้วยขั้นตอนต่างๆ ของหมอ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือปวดอะไรเลยนะ อาจเป็นเพราะยาชาด้วยแหละ ส่วนซิลิโคนคุณหมอก็เปลี่ยนให้ใหม่ แต่ยังเป็นซิลิโคนนิ่ม อเมริกาเหมือนเดิมนะคะ เพราะดูเป็นธรรมชาติ และหน้าดูไม่แข็ง
กระทู้เพิ่มเติมหมวดหมู่เดียวกัน
- Endotine คืออะไร ใครควรทำ
- สาวๆหนุ่มๆ คนไหนกำลังกลุ้มใจ มีปัญหาหัวล้าน ผมร่วง ผมบาง หรืออยากได้แนวผมที่สวย มารวมกันตรงนี้เลยค่ะ
- [รีวิวจัดฟันแบบใส] อยากฟันเรียงสวยแต่ไม่มีเวลาเข้ามาคลินิกทุกเดือน
- รีวิวผ่าตัดขากรรไกร แก้ปากอูม แบบละเอียดยิบ 12 วันไปงานได้แล้ว ไม่มีสายเดรน ไม่ต้องจัดฟันก่อน
- โดนเพื่อนช็อตฟีลตั้งแต่เด็กว่ากรามใหญ่ แค่นั้นไม่พอยังโดนคนที่บ้านช็อตอีก