สถานการณ์อ้วนน่าเป็นห่วง รอบเอววัยรุ่นหญิงเพิ่ม 5 นิ้วใน 20 ปี

อองฟอง

Junior Member
สมัครเมื่อ
27 พฤศจิกายน 2013
โพสต์
5
500_15.jpg




ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นห่วงสถานการณ์วัยรุ่นหญิงคลั่งผอม สถานการณ์ความอ้วนก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ผลการวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Public Health ของอังกฤษเผยว่า เด็กยุคนี้เข้าข่ายโรคอ้วนและน้ำหนักเกินกันมากขึ้น โดยในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา เด็กผู้หญิงมีรอบเอวเพิ่มมากขึ้นถึง 5 นิ้วเลยทีเดียว

4 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคอ้วนในเด็ก จากมหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ ได้ร่วมกันทำการศึกษาภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านความอ้วนของเด็กในยุคปัจจุบัน โดยได้ติดตามบันทึกดัชนีมวลกาย ซึ่งเป็นสัดส่วนระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง (BMI) สัดส่วนรอบเอว (WC) และอัตราส่วนระหว่างรอบเอวและส่วนสูง (WHtR) จากกลุ่มเด็กชาย และหญิงในเมืองลีดส์ อย่างต่อเนื่องทุกปีติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี

ผลการศึกษาอย่างต่อเนื่องพบว่า หากวัดความอ้วนตามเกณฑ์ BMI แล้ว อัตราเด็กอ้วนทั้งในเด็กชายและหญิง มีปริมาณสม่ำเสมอกันหมดตลอดทั้ง 5 ปี คือปีแรกวัดเด็กที่อยู่ในเกณฑ์อ้วนตามมาตรฐานดัชนีมวลกายได้กี่คน ในปีที่ห้าก็ยังคงได้จำนวนคนเท่าเดิม ซึ่งนี่น่าจะเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้ใหญ่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ทันได้ ตระหนักถึงปัญหาเด็กอ้วน เพราะเมื่อวัดตามเกณฑ์ BMI ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว พบว่าอัตราการเด็กอ้วนค่อนข้างคงที่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าภาวะอ้วนในเด็กแต่ละคนรุนแรงมากแค่ไหน เพราะดัชนี BMI ไม่ได้คำนวณสัดส่วนรอบเอว ซึ่งเป็นบริเวณที่เด็ก ๆ สะสมความอ้วนเป็นชั้นไขมันเข้าไปด้วยนั่นเอง

และ หากเมื่อได้มาโฟกัสเฉพาะที่สัดส่วนรอบเอวแล้ว จะพบว่าเด็ก ๆ ส่วนใหญ่มีรอบเอวเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง ที่พบเด็กอ้วนเพียง 20% ในช่วงปีแรก และกลายเป็น 60% ในปีที่ห้าของการติดตามเก็บข้อมูล นอกเหนือจากนี้รอบเอวเฉลี่ยของเด็กผู้หญิงวัย 15 ปี ยังเพิ่มขึ้นถึง 5 นิ้วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นับเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ นอกจากนี้ยังมีเรื่องชวนให้ช็อกเป็นระลอกสอง เมื่อพบว่าเด็กหญิงที่อ้วนบางรายนั้น มีน้ำหนักและรอบเอวเกินกว่าเกณฑ์ที่ใช้วัดความอ้วนของผู้ใหญ่เสียอีก

สิ่งที่น่าวิตกที่ตามมาก็คือ ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องนั้นอันตรายกว่าไขมันบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น แขน ต้นขา สะโพก หรือก้น เพราะไขมันหน้าท้องอยู่ใกล้กับอวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกายมากกว่า ทำให้พวกเธอเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลาย ๆ อย่างในอนาคตหากยังคงลดความอ้วนและรอบเอวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเต้านม โรคหัวใจ ตับมีปัญหา หรือว่าโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังทำให้การทำงานของรังไข่เสื่อมถอย ประสบปัญหาภาวะมีลูกยากอีกด้วย

แม้ว่าผลการศึกษาชิ้นนี้จะมาจากประเทศอังกฤษ แต่ก็สามารถสะท้อนถึงปัญหาโรคอ้วนในเด็กของบ้านเราได้เช่นกัน แต่ก็ยังพอได้เห็นการเร่งรณรงค์ป้องกันโรคอ้วน อย่างเช่น เลี้ยงลูกด้วยนมจืดแทนนมหวาน ให้ลูกรับความหวานจากธรรมชาติอย่างผลไม้ แทนความหวานจากน้ำตาลและขนม ไม่ปรุงอาหารรสหวานให้ลูกกิน เปลี่ยนกิจกรรมหน้าจอไปทำกิจกรรมนอกบ้าน แต่สิ่งเหล่านี้ก็อาจยังไม่เพียงพอ นอกเสียจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลอาหารการกินเขาอย่างเอาใจใส่ และปลูกฝังให้เขามีพฤติกรรมการกินที่ดีให้ตั้งแต่ยังเล็ก หากเริ่มได้จากหน่วยที่เล็กที่สุด และใกล้ชิดกับเขาที่สุดเช่นนี้แล้ว ปัญหาโรคอ้วนในเด็กของบ้านเราก็จะลดลงได้แน่นอนค่ะ

ขอบคุณ kapook.com
 
ด้านบน ด้านล่าง