- เข้าร่วม
- 8 กรกฎาคม 2014
- ข้อความ
- 44
เมื่อพูดถึงยาชา หลายๆคน ก็มักจะนึกถึงอาชีพหมอหรือแพทย์ขึ้นมา เพราะยาชาเปรียบเสมือนปราการด่านแรก ที่แพทย์ต้องใช้ในการผ่าตัดหรือทำแผลเพื่อลดความเจ็บปวดแต่ปัจจุบันนี้ ยาชาไม่ได้ใช้ทางการแพทย์หรือใช้เฉพาะในโรงพยายาบาลเท่านั้น แต่ยังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสักลวดลายและสักคิ้ว (tatto) รวมถึงด้านความสวยความงาม ต่างก็ใช้ยาชาเพื่อลดความเจ็บปวดค่ะ จากเดิมที่มีแค่ยาฉีด ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ปรับรูปแบบของยาชาหลากหลายรูปแบบมากไม่ว่าจะเป็น แบบฉีด แบบพ่น แบบทา เพื่อให้ใช้งานได้ตามความเหมาะสมและรูปแบบการรักษาค่ะ
Lidocaine (ลิโดเคน) เป็นสารที่นิยมใช้ในยาชามากที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่ระงับความรู้สึกเฉพาะที่ ออกฤทธิ์โดยระงับสัญญาณประสาท ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบที่ฉีดยาไร้ความรู้สึก นำมาใช้ป้องกันและระงับอาการปวดตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายในระหว่างขั้นตอนการตรวจหรือการรักษาทางการแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงค่ะ ยาชาทั่วไปจะมีลิโดเคน ตั้งแต่ 3-15% (ยกเว้นยาชาที่ใช้ในการสักปากจะใช้ 30-40 %) วันนี้เรามาทำความรู้จักกับยาชาที่ใช้ในบ้านเรากันค่ะ ว่ามีแบบไหนบ้าง
แบบแรกเลยคือ ยาชาแบบฉีด ป้องกันการเจ็บปวดระหว่างผ่าตัด-เย็บแผลขนาดใหญ่ และช่วยระงับการปวดหลังการผ่าตัดค่ะ หลังฉีดใช้เวลา 2-3 นาที ในการออกฤทธิ์ และกลับมารู้สึกได้ปกติหลังจากผ่านไปประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ยาชาแบบสเปรย์หรือแบบพ่น สเปรย์จะทำให้ชา ช่วยลดอาการปวด ทำให้ผิวหนังรู้สึกเย็นและชา ลดอาการปวด บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ตะคริว หลังพ่นใช้เวลา 2-3 นาที ในการออกฤทธิ์ ส่วนใหญ่ใช้กับนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย
ยาชาแบบทา ทาบริเวณที่ต้องการเพื่อให้มีอาการชา ช่วยระงับความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณ ระยะเวลาที่ยาชาจะเริ่มออกฤทธิ์ในการทำให้ชาก็ขึ้นอยู่กับปริมาณ และความเข้มข้นของยา (ใช้เวลา 20 - 40 นาที เพื่อให้ยาชาซึมเข้าชั้นเซลล์ประสาท) ยาชาประเภทนี้มักใช้กับความสวยความงาม เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสหน้าใส ยิ่งสมัยนี้เรื่องความสวยความงามและศัลยกรรมเข้าถึงได้ง่ายแล้ว ยาชาแบบทาก็เลยถูกนำมาใช้มากที่สุดเช่นกัน เพราะใช้ง่ายและเลือกใช้บริเวณที่ต้องการได้เลย
ยาชาแบบทาที่คลินิกความงามส่วนใหญ่เลือกใช้ จะมีลิโดเคนเป็นส่วนประกอบหลักอย่างเดียว (ประมาณ 10 – 15 %) แต่มียาชาน้องใหม่ที่ใครๆก็พูดถึง เพราะต่างจากยาชาทั่วไปที่มีปริมาณลิโดเคนถึง 20.56% (เยอะมากๆ) ที่ไม่ได้ทำให้ชาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีส่วนผสมที่ช่วยให้หน้าใสด้วยจ้า
J-White Cream ยาชาแบบทาตัวใหม่ล่าสุดจากเกาหลี มาแรงมากๆ
ทำไม J-White Cream ถึงมาแรงนะหรอ?? แค่ดูส่วนประกอบแล้วก็จะรู้ว่าไม่ได้มีดีแค่ความชาจ้า !!
- ลิโดเคน (Lidocaine) ถึง 20.56% ช่วยทำให้ยาชาออกฤทธิ์ไว ลดความเจ็บปวดได้ดี
- กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ
- กรดโคจิก (Kojic Acid) ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส และยับยั้งการรวมตัวของเม็ดสีเมลานิน ที่ทำให้เกิดฝ้ากระ
ด้วยส่วนผสมของลิโดเคน ถึง 20.56% ทำให้ J-White Cream เริ่ดตรงที่ชานาน ชาเร็ว ทำให้ลดความเจ็บปวดได้ดีสุดๆ และไหนจะกลูต้าไธโอนและกรดโคจิกที่ช่วยบำรุงผิวหน้าได้อีก ดีขนาดนี้ไม่แปลกใจเลยที่จะมาแรงค่ะ ขอบอกว่าใครอยากสวยแต่กลัวเจ็บแนะนำให้ลองไปหาซื้อ หรือก่อนทำสอบถามหรือปรึกษาที่คลินิกเสริมความงามกันดูว่าใช้ตัวนี้อยู่หรือเปล่า รับรองได้เลยว่า หมดปัญหาอยากสวยอยากหล่อแต่กลัวเจ็บได้แน่นอนจ้า
- ลิโดเคน (Lidocaine) ถึง 20.56% ช่วยทำให้ยาชาออกฤทธิ์ไว ลดความเจ็บปวดได้ดี
- กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ
- กรดโคจิก (Kojic Acid) ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส และยับยั้งการรวมตัวของเม็ดสีเมลานิน ที่ทำให้เกิดฝ้ากระ
ด้วยส่วนผสมของลิโดเคน ถึง 20.56% ทำให้ J-White Cream เริ่ดตรงที่ชานาน ชาเร็ว ทำให้ลดความเจ็บปวดได้ดีสุดๆ และไหนจะกลูต้าไธโอนและกรดโคจิกที่ช่วยบำรุงผิวหน้าได้อีก ดีขนาดนี้ไม่แปลกใจเลยที่จะมาแรงค่ะ ขอบอกว่าใครอยากสวยแต่กลัวเจ็บแนะนำให้ลองไปหาซื้อ หรือก่อนทำสอบถามหรือปรึกษาที่คลินิกเสริมความงามกันดูว่าใช้ตัวนี้อยู่หรือเปล่า รับรองได้เลยว่า หมดปัญหาอยากสวยอยากหล่อแต่กลัวเจ็บได้แน่นอนจ้า