พวกเราฟังข่าวแล้วช็อกไปชั่วขณะ เมื่ออยู่ดีๆ พระเอกดังระดับตำนานของเมืองไทย “โอ-วรุฒ วรธรรม” ก็ออกมาประกาศกว่าอยากให้ “น้องแอร์บัส” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรียกว่า “อา”
ต่อมาไม่นานก็เปลี่ยนใจให้เรียก “ลุง” ทำเอามึนกันค่อนประเทศ มาวันนี้ “พี่โอ” ได้เดินทางมาเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งยอมรับว่า “ไม่ได้ส่งเสีย” ค่าเลี้ยงดูลูกมานานแล้วเนื่องจาก “ไม่มีงาน” ทำให้ปัญหาทางการเงินรุมเร้า ทยอยขายทรัพย์สินที่สะสมมาทั้งชีวิต
มีข่าวว่าให้ลูกเรียกว่าลุง ?
“ให้เรียกเป็นลุง คือจริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้เขามาเรียกว่าเราว่าลุงหรอกครับ คืออยากให้เขามีความสุขกับครอบครัวใหม่ของเขา แทนที่จะเขาติดยึดอยู่กับว่าคนนี้เป็นพ่อเขานะ ถ้าอย่างนั้นความรักในครอบครัวเขามันจะไม่สนิทสนมกันอย่างเต็มที่”
จริงๆ ทางคุณพ่อใหม่เขาก็น่าจะเข้าใจนะ ?
“ก็ได้ ถ้าเขาจะเรียกเราว่าพ่ออยู่ แต่ว่าถ้าเด็กเขายังไม่มีความคิดอะไรที่มันมากมายจนเกินไป เขาอาจจะลืมๆ มันไปได้ คือผมอยากให้ครอบครัวเขาอยู่กันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น โดยที่ลูกจะต้องนึกว่าคนนี้ไม่ใช่พ่อ แต่พ่อจริงๆ คือคนนี้”
ทำไมถึงคิดแบบนั้น น้อยใจเหรอ ?
“ไม่ได้น้อยใจ แต่ตัวเองเนี่ยอยากจะให้ครอบครัว ครอบครัวหนึ่งมีความสุขอยู่กันอย่างอบอุ่น”
ไม่กลัวว่าหนึ่งลูกจะน้อยใจ ถ้าให้เขาเรียกว่าลุงจริงๆ ?
“ด้วยอายุผมว่าเขาคงจะจำอะไรไม่ได้นะ ตอนนี้ประมาณ 6-7 ขวบ”
6-7 ขวบ เขาน่าจะจำได้แล้วนะ ?
“จำได้แล้วเหรอ แต่ว่าสักวันหนึ่งเขาก็คงรู้อยู่ดีอะเนอะ ว่าเราเป็นพ่อ ก็แล้วแต่เขา เขาอยากเรียกอะไรก็เรียก(หัวเราะ)”
ได้เจอลูกบ่อยไหม ?
“พักหลังนี่ไม่ได้เจอกันนานแล้วครับ เป็นปีๆ แล้ว”
เรื่องค่าใช้จ่าย เลี้ยงดูลูกก็ไม่ได้รับผิดชอบ ?
“ไม่ได้รับผิดชอบแล้ว อันนี้ก็เป็นความจริง ที่สำคัญเลยคือตอนนี้เราไม่มี ไม่มีเงินพอที่จะช่วยเหลือ หรือไปจุนเจือให้เขาได้มากเหมือนสมัยก่อน คือตอนนี้ตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย แล้วอีกอย่างหนึ่งทางแฟนใหม่เขา(แฟนใหม่ของอดีตภรรยา)ก็ค่อนข้างจะมีฐานะ”
ไม่ได้ดูแลเรื่องนี้นานหรือยัง ?
“นานแล้วครับ ก็ตั้งแต่ไม่มีงาน เริ่มตกงานมา 2 ปี(ประมาณ) คือทางโน้น(อดีตภรรยา) เขาก็เข้าใจดี เขาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรเรา เพราะว่าเขาก็ทราบอยู่แล้วว่าตอนนี้เราแย่มาก แย่ถึงแย่มากๆ”
เพราะเราไม่ได้ดูแลแล้ว เลยไม่อยากให้เรียกว่าพ่อ ?
“ก็ด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าเขารับได้กับครอบครัวใหม่ของเขา ผมก็อยากให้ครอบครัวเขา เป็นครอบครัวที่เป็นปึกแผ่น เป็นพ่อเป็นลูกกันจริงๆ เลย”
ทุกวันนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากไหน ?
“ก็มาจากรายการที่ถูกรับเชิญมาอย่างนี้แหละ คือมันไม่มีรายได้ประจำ เดือนนี้เราจะไม่รู้ตัวเลยว่า เราจะมีเงินกิน มีเงินใช้แค่ไหน จะมีเงินพอที่จะไปจ่ายดอกเบี้ยไหม หรือว่ามีเงินพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้านหรือเปล่า”
รายจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ ?
“รายจ่ายอยู่ที่ประมาณ อย่างน้อยๆ เนี่ย 20,000-30,000 สูงนะสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะมีงานหรือเปล่า”
เดือนที่ไม่มีงานเลยมีไหม ?
“อย่างเดือนที่ผ่านมาไม่มีงานเลยก็เมื่อซักปีที่แล้ว ในช่วงที่ดื่มหนัก นั่นแหละคือมันไม่มีงานเลย ตื่นมามันก็คิดอะไรไม่ออก ตื่นมาฉันจะทำอะไรเนี่ยวันนี้คนเคยทำงานทุกวัน ที่ผ่านมา 20 เกือบ 30 ปีเนี่ย ผมทำงานทุกวันตื่นขึ้นมาสมองไม่คิดอะไรเลย อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเราไม่มีที่จะไป มันก็หันไปกินเหล้า”
พอไม่มีงาน ไม่มีเงิน พี่โอทำยังไง ?
“ก็เริ่มทยอยขายทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหลายของผมเองเนี่ยโดยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่เก็บเงินสด จะเก็บอะไรที่มันเป็นทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ เก็บเพชร เก็บทอง ซื้อเรือยอร์ช ซื้อที่ดินที่เชียงใหม่ เชียงราย ซื้อรถหลายๆ คัน”
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ขายกี่ชิ้นแล้ว ?
“หมดแล้ว ตอนนี้เหลือบ้านที่เชียงใหม่หลังเดียว บ้านที่กรุงเทพตอนนี้เช่าเขาอยู่”
เห็นพูดถึงการจ่ายดอก มีหนี้สินด้วยเหรอ ?
“พวกแหวนเพชรเนี่ยที่เราเอาไปจำนำ เป็นหนี้ที่เราเอาไปจำนำ เพราะเรายังมีความหวังว่าคือยังไงมันเสียดาย กับเพชรพลอย กับอะไรที่เราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เอาไปจำจำไว้ก่อน แค่จำนำก่อน
เผื่อว่าวันหนึ่งเรามีโอกาสอาจจะไปไถ่มันกลับมาได้ แต่อย่างบ้าน รถ บ้านที่กรุงเทพมี 2 หลัง อันนั้นมันต้องขาย ไปจำนำแล้วมานั่งผ่อนเขา แล้วยังมีเป็นดอกอีกมันก็ไม่มีตังก์ที่จะผ่อนนอกจากจะไม่มีตังก์ผ่อนแล้วยังมีดอกงอกออกมาอีก”
สมบัติตอนนี้เหลืออะไรบ้าง ?
“บ้านที่เชียงใหม่ที่เดียว รถคัน มอไซค์คัน จักรยานคัน คอมพิวเตอร์ชุดหนึ่ง(หัวเราะ) แล้วก็พวกของเล่นที่เคยเล่นๆ ไว้ ที่เคยสะสมไว้เครื่องบินบังคับ เรือบังคับ รถบังคับ ซึ่งถามว่าของพวกนี้ถามว่าถ้าจะขายกินเพื่อเลี้ยงชีวิตได้ไหม มันขายไม่ได้หรอก ก็เก็บไว้เล่น ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่”