ตามที่มีพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายหลังพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 15 วัน ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมเป็นต้นไป เวลา 08.00-21.00น.ทุกวัน ( ยกว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ) นั้น
วันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ ประชาชนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาจองบัตรคิวเพื่อสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หลายคนเดินทางมาตั้งแต่ช่วง 9 โมงของเมื่อวาน ตากฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืน เพื่อให้ได้เข้าไปสักการะเป็นชุดแรก
จนกระทั่งเวลาเมื่อเวลา 05.15 น. สำนักพระราชวังเปิดให้พสกนิกรชุดแรกเข้าไปถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเบื้องหน้าพระบรมโกศ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าโศก ยังคงมีเสียงสะอื้นไห้พร้อมคราบน้ำตาของความโศกเศร้า
พสกนิกรหลายคน นำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ในพระอิริยาบถต่างๆมาถือไว้แนบอก พร้อมตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าดวงพระวิญญาณว่าหากเกิดชาติหน้าขอได้เป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป เดินเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี สู่ประตูพิมานไชยศรี ผ่านพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเลี้ยวขวาเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบรมโกศ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7
นางวิภาดา จันทะลือ อายุ 58 ปี ย่านบางบอน ซึ่งเดินทางมาสบทบกับเพื่อนในช่วง 6 โมงเย็นของวันที่ 28 ตุลาคม โดยได้เข้าไปสักการะเป็นชุดแรก เผยว่า ปกติแล้วมาเฝ้าอยู่ที่ศาลาศิริราช 100 ปี อยู่ตั้งแต่ปี 2549 อยู่แล้ว ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้เป็นวันสำคัญก็เตรียมตัวอย่างดี แม้จะต้องตากฝนตลอดคืนก็ไปเข้าคิวเพื่อให้ได้เข้าไปกราบสักการะ เพราะอยากจะทำสิ่งใดบางสิ่งเพื่อพระองค์บ้าง ตลอดชีวิตมาเกิดมาก็เห็นพระองค์ทรงงานเพื่อคนในชาติแล้ว 365 วันไม่เคยมีวันหยุดเลย วันนี้แม้จะมีอุปสรรคใดก็ไม่อาจต้นทานได้
นายดาว บุญแจ่ม พสกนิกรชาวจังหวัดพิษณุโลก หนึ่งในประชาชนกลุ่มแรก ที่ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิต ได้เดินทางมาจากบ้านเกิดที่ จ.พิษณุโลก พร้อมกับครอบครัวพ่อแม่ลูกอีก 8 คน ตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานนี้ ถึงแม้จะเจอกับสายฝนที่โหมกระหน่ำมาอย่างหนักก็ไม่เคยหวั่นเกรง
นายดาว กล่าวว่า รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จากนี้ต่อไปจะไม่มีพระองค์อีกแล้ว แต่ลึกๆในใจก็คิดว่าพ่อจะได้พักผ่อนไม่ต้องเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะอย่างน้อยพระองค์ท่านก็ยังสถิตอยู่ในใจพวกเราปวงพสกนิกรชาวไทย
“ตอนแรกก็เหมือนผมจะทำใจกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่พอได้ดูทีวีแล้วเห็นภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงงานหนักตลอดเวลาไม่เคยทรงหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว พระองค์ท่านทรงทำงานหนักเพื่อคนอื่นตลอดเวลา มิเคยย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหาที่ขวางอยู่ด้านหน้า สิ่งเหล่านี้เองล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมไม่เคยกลัวและหวั่นเกรงกับปัญหาใดๆ พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า”
นางวาสนา คำฟู อายุ 56 ปี แม่บ้านจากอ.เมือง จ.ลำพูน ให้สัมภาษณ์ด้วยความตื้นตันใจว่า ตนเป็นหนึ่งในทีมแรกที่ได้เข้าเฝ้าหน้าพระบรมศพ โดยตนได้เดินทางมาจากบ้านที่จังหวัดลำพูนตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมาด้วยรถทัวร์เกือบ 10 ชั่วโมงหลังทราบข่าวทางสำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ จากนั้นเมื่อเวลา 14.00. ของวันที่ 28 ตุลาคม จึงได้เดินทางมารอหวังว่าจะได้เข้าเฝ้าหน้าพระบรมศพให้ได้
“รู้สึกดีใจมากที่วันนี้ได้เข้าเฝ้าเป็นกลุ่มแรก ไม่คิดว่าตนจะได้เข้าเฝ้าหน้าพระบรมศพของท่านเช่นนี้เนื่องจากตนเป็นประชาชนคนธรรมดา ทั้งนี้ตนอยากจะเป็นคนดีที่เดินตามรอยเท้าพ่อ โดยเฉพาะในเรื่องของความพอเพียงและอยากบอกคนไทยทั้งประเทศว่า พระองค์สามารถดูแลคนไทยทั้ง 76 ล้านคนได้ ฉะนั้นจึงอยากให้คนไทยทั้ง 76 ล้านคนทำดีเพื่อพ่อ” นางวาสนากล่าว
นางนันทนา สินธุผล อายุ 63 ปี ชาวบ้านในจังหวัดนนทบุรี หนึ่งในบุคคลที่ได้เข้าเฝ้าหน้าพระบรมศพในรอบแรกเช่นกัน ได้เดินทางมาพร้อมเพื่อนตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมโดยได้เดินทางมาหาซื้อชุดดำก่อนจากนั้นจึงเดินทางมาบริเวณพระบรมมหาราชวังในเวลา 01.00 น. เพื่อมาจับจองที่นั่ง นางนันทนา เล่าให้ฟังว่ารู้สึกปลื้มใจมากที่ได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าพระบรมศพในครั้งนี้ อีกทั้งตนเป็นหนึ่งในคนที่ได้เข้าเฝ้าในรอบแรก
“ไม่ว่าจะเป็นคนแรก ทีมแรกหรือทีมหลังที่ได้เข้าเฝ้าหน้าพระบรมศพ ตนก็คิดว่าทุกคนก็มีความรู้สึกที่ดีต่อพระองค์เช่นกัน ฉะนั้นการเข้าเฝ้าเป็นทีมแรกจึงไม่สำคัญเท่ากับการจะทำอย่างไรให้ได้ที่พ่อหลวงทรงทำเพื่อพวกเรา
ทั้งนี้ คิดว่าพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 สามารถนำมาใช้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ ดิน ป่าไม้ ซึ่งตนก็นำมาใช้ในชีวิตทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ตอนนี้ตนได้นำมาใช้ในชีวิตได้แล้ว” นางนันทนาเล่าอย่างซาบซึ้งใจ