นับเป็นเวลากว่า 44 ปีที่ “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ” นางสนองพระโอษฐ์และรองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้ตามเสด็จและถวายงานแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
จากเวลาที่ผ่านมา หลายคนอาจได้เห็นและได้ฟังเรื่องราวต่างๆของในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กันไปเป็นจำนวนมาก และหลายคนคงจะรับรู้ได้ว่าเมื่อพ่อหลวงของเราเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนที่แห่งใด ย่อมมีสมเด็จพระบรมราชินีนาถเคียงข้างกายอยู่เสมอ แม้กระทั่งจะเสด็จฯลงพื้นที่ที่ลำบากมากเพื่อเยี่ยมเยือนราษฎรชาวไทยก็ตาม
ต้องยอมรับกันโดยแท้จริงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระราชินีที่มีพระสิริโฉมงดงาม ซึ่งพระนามาภิไธยของพระองค์ได้ปรากฏอยู่ในหอแห่งเกียรติยศ นครนิวยอร์ก ในฐานะทรงเป็น 1 ใน 12 สตรีที่แต่งกายงามที่สุดในโลก
และชาวต่างชาติต่างเห็นพ้องต้องกันด้วยว่าพระองค์ทรงงามด้วยพระรูปโฉมและฉลองพระองค์ ซึ่งถ้าหากถามคนไทยแล้ว พระราชินียังทรงงามด้วยพระจริยวัตร งามด้วยพระเมตตา และงามในน้ำพระราชหฤทัยอีกด้วย และพระองค์ยังทรงสนับสนุนงานผ้าไทยให้โด่งดังไปทั่วโลก
ซึ่งนอกจากความสง่างาม ความอ่อนหวานของพระราชินีที่หลายคนได้เห็นเบื้องหน้า อีกมุมแห่งความกล้าหาญ ความเข้มแข็งของพระราชินี ผู้หญิงที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ ก็เป็นสิ่งที่ถ้าหากใครได้รับรู้แล้วจะรู้สึกซาบซึ้งที่ได้เกิดมาอยู่ใต้พระบารมีของทั้งสมเด็จพระบรมราชินีนาถและในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างแน่นอน
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ
เรื่องราวต่อจากนี้เปรียบเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ชาติไทย ผ่านคำบอกเล่าและความทรงจำของท่านผู้หญิง ถึงการได้มีโอกาสตามเสด็จไปยังพื้นที่ทุรกันดารทั่วประเทศ ได้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพ พระราชกิจ และพระเมตตาอีกนับไม่ถ้วนที่ทำให้ประชาชนของพระองค์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทราบมาว่าท่านผู้หญิงถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นเวลากว่า 44 ปีแล้ว
ใช่ค่ะ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2515 ตอนนั้นท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ซึ่งเป็นนางสนองพระโอษฐ์ผู้ใหญ่รู้จักกับคุณแม่ดิฉันมานาน (ท่านผู้หญิงเจือทอง อุรัสยะนันทน์) ท่านผู้หญิงมณีรัตน์บอกคุณแม่ให้พาลูกสาวมาทำงานถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ดิฉันจึงมีโอกาสเข้ามาทำงานในฐานะนางพระกำนัล และรับราชการในกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ แต่ก่อนหน้านั้นสมัยเด็กดิฉันเคยเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องจากคุณพ่อ (นายจาด อุรัสยะนันทน์) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีนานหลายปี
เวลาทั้งสองพระองค์เสด็จฯแปรพระราชฐานไปประทับ ณ วังไกลกังวลทางรถไฟหรือรถยนต์ คุณพ่อคุณแม่ก็ได้เตรียมการรับเสด็จ และถ้าตรงกับช่วงที่ดิฉันปิดเทอมก็ได้เฝ้าฯรับเสด็จด้วย เวลามีงานที่วังไกลกังวลก็จะทรงเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์เข้าร่วมงานด้วยเสมอ
สมเด็จพระบรมราชินีนาถมีพระราชกรณียกิจหรือการเสด็จพระราชดำเนินครั้งไหนที่ยากลำบากหรือเสี่ยงอันตรายไหม
ยากทุกแห่งเลยค่ะ (หัวเราะ) ขอย้อนเล่าสมัยที่พรรคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลอีกครั้ง ตอนนั้นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดํารงตําแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ เสด็จพระราชดำเนินไปกิ่งอำเภอดงหลวง (ปัจจุบันเป็นอำเภอดงหลวง) จังหวัดนครพนม ซึ่งสถานการณ์ในพื้นที่ค่อนข้างรุนแรงมาก
ท่านผู้หญิงสุประภาดากับดิฉันมีหน้าที่สังเกตการณ์พื้นที่ล่วงหน้า เราต้องปลอมตัวเป็นชาวบ้านเข้าไปที่ตลาดนาแก นุ่งผ้าถุง ไม่แต่งหน้า ใส่แว่นสายตา หิ้วตะกร้าหนึ่งใบ เหลือแต่ไม่ได้เคี้ยวหมากเท่านั้น (หัวเราะ) แล้วนั่งรถสองแถวเข้าไปในพื้นที่ พอไปถึงปรากฏว่าทางการเปลี่ยนแผนไม่ให้พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปบริเวณนั้น เพราะเกรงจะเกิดอันตราย จึงให้เสด็จฯไปโรงเรียนที่อยู่ห่างกัน
ขณะนั้นชาวบ้านมารอกันเต็มไปหมดแล้ว พอรู้ว่าทางการเปลี่ยนแผนจึงน้อยใจว่าทำไมพระราชินีมาบ้านเขาไม่ได้ จากที่นั่งอยู่เป็นร้อยๆ คนลุกเดินกลับเข้าหมู่บ้านหมดในทันที
พอเห็นอย่างนั้น ท่านผู้หญิงสุประภาดาบอกดิฉันว่าท่านจะดูแลสถานการณ์ตรงนั้น ให้ดิฉันนั่งรถไปกับทหารเพื่อกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอพระราชทานวินิจฉัยว่า เมื่อเสร็จพระราชกิจตรงนั้น จะขอพระราชทานให้เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่
จากนั้นดิฉันก็นั่งรถยนต์ของทหารที่มีปืนประทับอยู่ด้านบน เขาเรียกรถอะไรก็ไม่ทราบ เนื่องจากทหารเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ถูกซุ่มยิง แต่ตอนนั้นไม่ทันคิดกลัว ต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุดพอไปถึง ดิฉันรีบบอกท่านแม่ทัพว่าท่านผู้หญิงสุประภาดาให้มากราบบังคมทูลตามที่เล่าไว้ข้างต้น
ตอนนั้นพลเอกเปรมไม่อยากให้พระองค์ท่านเสด็จฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็เช่นกัน แต่ดิฉันบอกว่าท่านผู้หญิงสั่งมาให้กราบบังคมทูล คงต้องเฝ้าฯกราบบังคมทูล และเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็รับสั่งทันทีว่าจะเสด็จฯไป โดยให้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์รออยู่ที่เดิม จะเสด็จฯไปพระองค์เดียว ให้ดิฉันรีบกลับไปบอกท่านผู้หญิงตามนั้น
สมเด็จพระบรมราชินีนาถสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกล้าหาญเหลือเกิน
พระองค์ท่านไม่เคยละทิ้งประชาชน หลังจากนั้นดิฉันกับท่านผู้หญิงสุประภาดาจึงแสดงตัวและประกาศว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จฯ เท่านั้นแหละชาวบ้านดีอกดีใจ รีบกลับมากันเนืองแน่นเหมือนเดิมในพริบตา และเมื่อพระองค์เสด็จฯมาถึงก็มีพระราชปฏิสันถารกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง
ระหว่างนั้นจะมีเครื่องบินอารักขาบินสังเกตการณ์อยู่รอบๆ พอเครื่องบินไปถึงชายป่าก็มีเสียงปืนดังปังๆ ดิฉันเห็นแสงไฟพุ่งวาบไปทางเครื่องบิน พระองค์ท่านก็ทรงได้ยิน แต่ไม่ทรงแสดงว่าจะต้องรีบเสด็จฯกลับ ยังมีรับสั่งถามสารทุกข์สุกดิบและทรงเยี่ยมราษฎรจนเสร็จ
ท่านผู้หญิงต้องปลอมตัวแบบนั้นบ่อยไหม
ครั้งนั้นครั้งเดียวค่ะ แต่มีเหตุการณ์ตื่นเต้นแบบนั้นอีกเยอะ เช่น ครั้งที่ท่านผู้หญิงสุประภาดากับดิฉันตามเสด็จไปจังหวัดตราดในปี พ.ศ.2522 ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ชาวกัมพูชานับแสนคนอพยพมาอยู่บริเวณชายหาดบ้านเขาล้าน อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
ขณะนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับที่หัวหิน ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดได้เขียนจดหมายผ่านมาที่สภากาชาดไทยว่ามีกัมพูชาเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทุกคนอยู่ในสภาพหิวโหย ทางจังหวัดพยายามช่วยเหลือสุดความสามารถแล้ว แต่คงจะแบกรับสถานการณ์นั้นไม่ไหว จึงขอความช่วยเหลือมาที่สภากาชาดไทย ซึ่งพระองค์ท่านเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย เมื่อทรงทราบก็รับสั่งว่าจะเสด็จฯไปทอดพระเนตรเพื่อพระราชทานความช่วยเหลือจากหัวหิน
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับเครื่องบินข้ามทะเลไปที่จังหวัดจันทบุรี แล้วประทับเฮลิคอปเตอร์ต่อ พอเสด็จฯถึงก็ทอดพระเนตรแล้วรับสั่งว่า สถานการณ์ที่ทอดพระเนตรเห็นไม่เป็นอย่างที่ผู้ว่าฯ บรรยายในจดหมายเลย
ชาวกัมพูชาที่มาคอยอยู่นั้นดูร่างกายแข็งแรง ทรงจับได้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้พาพระองค์ไปพื้นที่จริง เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย จึงให้ทหารขนชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งนั่งรถมาเข้าเฝ้าฯ ที่โรงเรียนบ้านไร่ ซึ่งชาวกัมพูชาที่ปีนขึ้นรถทหารได้ก็ต้องแข็งแรง พระองค์จึงทรงยืนยันว่าจะเสด็จฯ ไปบ้านเขาล้าน
ขณะเสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์ เมื่อใกล้ถึงที่หมายแล้ว ดิฉันมองลงไปพื้นเบื้องล่างก็ตกใจมาก เพราะเห็นคนอยู่เบื้องล่างมากเกินประมาณ ทุกคนใส่เสื้อผ้าสีดำ โพกศีรษะด้วยผ้าสีดำ นั่งกันอยู่เต็มไปหมด ไม่มีทั้งอาหารและน้ำ ที่ติดตัวมาก็หมดไปกลางทาง
เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงถึงพื้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระดำเนินไปในพื้นที่เปียกแฉะ แล้วคิดดูว่ามีคนจำนวนมากกิน นอน ถ่ายอยู่ตรงนั้น กลิ่นไม่พึงประสงค์คลุ้งไปหมด ขณะที่ดิฉันตามเสด็จได้เห็นภาพที่น่าเวทนาสุดจะบรรยาย เด็กเล็กๆที่แม่อุ้มอยู่เหลือแต่ซี่โครง อ้าปากเหมือนลูกนกคอยอาหารจากแม่ หลายคนอยู่ในภาวะขาดอาหารขั้นรุนแรง เพราะเดินเท้ารอนแรมข้ามภูเขามา บางคนมาถึงก็ล้มตายอยู่ตรงนั้น เห็นกันคาตา
ในครั้งนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเลี้ยงเด็กกำพร้าจำนวนมาก ทรงชงนมให้ดูเป็นตัวอย่าง และทรงสอนว่าเด็กที่ขาดอาหาร ถ้าชงนมเหมือนปกติอาจทำให้ท้องเสีย ต้องให้นมเจือจางที่สุดและป้อนทีละน้อย ให้สภาพร่างกายเคยชินก่อนจึงเพิ่มนมให้เข้มข้นขึ้น ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยนะคะ
สิ่งของเหล่านี้ก่อนเสด็จฯมาได้ทรงให้ตระเตรียมมาพร้อมกับขบวนเสด็จฯ ทรงคาดเดาได้จากรายละเอียดในจดหมายของผู้ว่าราชการจังหวัด ก่อนที่พระองค์ท่านเสด็จฯกลับ โปรดเกล้าฯให้ท่านผู้หญิงสุประภาดา ดิฉัน และคุณชวลี อมาตยกุล อยู่ช่วยชาวกัมพูชาต่อ โดยนำเครื่องหมายกาชาดพระราชทานติดที่เสื้อ และโปรดเกล้าฯให้ตั้งศูนย์สภากาชาดขึ้นในบริเวณนั้น ทั้งยังพระราชทานสิ่งของมาช่วยเหลือตามมาอีกจำนวนมาก เช่น น้ำสะอาด เกลือไอโอดีน นมผง ข้าวสาร เสื้อผ้า พลาสติก เครื่องปั่นไฟ
ถ้าให้ท่านผู้หญิงสรุปความทรงจำในฐานะผู้ได้ถวายงานใกล้ชิดแม่ของแผ่นดินไทยมาเป็นเวลากว่า 44 ปี
เป็นบุญเหลือเกินค่ะ ที่ได้เข้ามารับใช้พระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ ไม่ได้คิดฝันเลย และเมื่อมีโอกาสถวายงานก็ได้เห็นน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่าทรงรักประเทศชาติ ทรงอยากให้ประเทศไทยมีความมั่นคงยั่งยืน
คนไทยเราโชคดีที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงงามพร้อมด้วยพระจริยวัตรและน้ำพระทัยที่ใสสะอาด ดิฉันคิดว่าคนไทยควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ดูพระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์ให้ลึกซึ้ง อย่าดูแต่ฉาบฉวย ทุกพระราชกรณียกิจทรงทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้งสิ้น ไม่เคยทรงหวังผลตอบแทนอะไรเลย นอกจากอยากทอดพระเนตรเห็นคนไทยรักและสามัคคี ช่วยกันดูแลประเทศชาติ
สำหรับดิฉัน การได้ถวายงานรับใช้ถือเป็นความภูมิใจสูงสุดของชีวิตและจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานต่อไปค่ะ