นายแม่สาย ประภาสะวัต หรือโจ อายุ 29 ปี เจ้าของรถแลมโบกินี่แท็กซี่ ที่มีคลิปในโซเชียลเป็นที่โด่งดัง ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.อาคม ลำปางมูล พนักงานสอบสวน ปอท.เพื่อแจ้งความฟ้องร้องเว็บไซต์ชื่อดัง ที่มีการโพสต์ข้อความในทำนองว่า ไฮโซโจโกงเงินและยักยอกทรัพย์
โดย โจ แม่สาย กล่าว ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ตบหน้าคนขี่รถจักรยานยนต์ คนไปค้นประวัติและแฉต่อ ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรืออะไร มันเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่พอมันเป็นสื่อทำผมมองว่ามันไม่มีคุณธรรมนะครับ เขาเขียนถึงขนาดยักยอกเนี่ย ถ้าทำผมติดคุกนะครับ แล้วผมไม่ได้ทำ ถ้าคนที่ผมยักยอกทำไมไม่ออกมาละครับ วันนี้ก็แจ้งในข้อหาหมิ่นประมาท ในกรณีที่หาว่าผมยักยอกทรัพย์เอามาดื้อ ๆ หาว่าผมยักยอกทรัพย์ครับ ยืนยันว่าไม่ได้ยักยอก แต่ผมมีเทคนิคในการทำธุรกิจตามที่ผมเขียนนะครับ วันนี้ผมก็ฟ้องทั้งเว็บเลยครับ ถ้าเขาติดต่อมาพูดคุยก็คุยได้แน่นอนครับ”
อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ (17มี.ค.58) โจ แม่สาย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก โจ แม่สาย ประภาสะวัต เพื่อชี้แจงถึงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้
ความจริงเรื่องการโกงของผมสิ่งที่ทำให้ผมรวยด้วยเงินทุนเพียงน้อยนิด
เริ่มต้นอาชีพ ผมเริ่มจากการเปิดอู่ติดแก๊สอยุธยาเล็กๆที่จังหวัดอยุธยา โดยหัดติดตั้งแก๊สจากอู่แถวหอพัก จากนั้นก็ไปฝึกงานที่ร้านสันติการช่าง แล้วก็เริ่มซื้ออุปกรณ์จากที่ร้านสันติ แต่หลังจากที่ผมเปิดร้านได้ สองถึงสามเดือนก็ได้เปลี่ยนมาซื้ออุปกรณ์จากร้านนภัทรเจริญยนต์ โดยเจ้าของจริง ๆ ชื่อเจ๊รัตนา แต่ที่เรียกร้านนภัทร เพราะนภัทรเป็นชื่อของลูกชายของเจ๊รัตนา หรือที่ร้านจะเรียกกันว่าน้องพีท ส่วนสาเหตุที่เปลี่ยนมาซื้อกับเจ๊เพราะขายถูกกว่า โดยผมจะเป็นคนมาซื้อของเองเกือบทุกวันและช่วงนั้นเป็นช่วงที่อุปกรณ์แก๊สขายดีมาก ต้องรอคิวซื้อของยาวมาก ผมเลยใช้เทคนิคในการซื้อคือมารอเป็นคนแรกตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดทำให้ผมได้มีโอกาสคุยกับเจ๊มากกว่าคนอื่น แล้วผมก็เริ่มสนิทกับเจ๊ตั้งแต่นั้นมา
หลังจากเปิดอู่มาได้ปีกว่า ๆ ผมก็เริ่มมีเงินเก็บหลักล้าน เลยเริ่มนำอุปกรณ์แก๊สมาขายเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เจ๊ก็เรียกผมมาคุยแล้วบอกว่าให้มาทำด้วยกันมั๊ย จะไปวิ่งขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไม โดยให้ผมนำเข้ามาให้แกแล้วแกก็จะเป็นคนขายให้เพราะวันนั้นเจ๊เองก็ซื้ออุปกรณ์มาจากบริษัทนำเข้าแล้วมาขายอู่อย่างพวกผม
ข้อตกลงร่วมกันจึงเกิดขึ้น
ปกติเจ๊จะซื้อจากผู้นำเข้าราคา 120 และนำมาขาย 150
แต่เมื่อผมเช็คราคาจากต่างประเทศต้นทุนอยู่ที่ 90 เจ๊ซื้อที่ผม 100 แล้วขาย 130 และด้วยกลยุทธ์ราคาที่ถูกนี้ ทำให้เจ๊ขายดีมากขึ้นเพราะขายได้ถูกกว่ายี่ปั๊วรายอื่น แต่กำไรที่ได้ยังคงเท่าเดิม
จากราคาดังกล่าวทำให้เราทั้งสองคนคิดแล้วว่า win win ทั้งคู่ จึงทำให้เราเริ่มนำเข้ามา โดยบริษัทที่นำเข้านั้นเป็นชื่อบริษัทของผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าใครบอกที่เป็นนักสืบต่าง ๆ ที่ว่ากันว่าหาได้ทุกอย่าง ช่วยไปหาข้อมูลจดทะเบียนบริษัทของร้านนภัทรตอนนั้นมาหน่อยครับ ผมบอกได้เลยว่าไม่มี เพระตอนนั้นเจ๊เองก็ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทเหมือนกัน และเมื่อไม่ได้ทะเบียนบริษัทจะนำเข้ามาได้อย่างไรครับ ใครที่บอกผมไปแอบเปิดเองนั้น ไม่ต้องแอบหรอกครับ เพราะถ้าคุณไปดูประวัติการนำเข้ามาชื่อบริษัทที่นำเข้าตั้งแต่ล็อตแรกมันก็เป็นชื่อบริษัทของผม
ไฮโซ โจ แม่สาย เจ้าของรถแลมโบกินี่แท็กซี่ ที่เป็นข่าวดังทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ข้อตกลงระหว่างผมกับเจ๊คือ ผมเป็นผู้นำเข้าแต่ต้องนำเข้าให้เจ๊คนเดียว และเจ๊เป็นคนขายให้กับอู่ แต่เจ๊ก็ต้องซื้อผมคนเดียว หลังจากนำเข้ามาสินค้าที่ขายเป็นสินค้าใหม่ไม่มีคนรู้จักผมเลยรับหน้าที่ทำการตลาดให้ โดยหน้าที่ของผมก็คือทำ website เอกสารประกอบการขาย คู่มือการติดตั้ง และเมื่อขายไป อู่ที่ซื้อไปก็ใช้โปรแกรมจูนไม่เป็น ผมเลยจัดสัมมนาเพื่อที่จะสอนอู่ในการติดตั้งและใช้โปรแกรม โดยการตลาดทั้งหมดผมทำในนามของร้านนภัทร หนังสือ Gas for car และ www.gasthai.com ก็เลยลงว่าผมเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของร้านนภัทร ซึ่งผมไม่ได้มีเงินเดือนเลย ถ้าใครบอกผมเป็นพนักงาน คุณไปหาหลักฐานการเป็นพนักงานของผมมาเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือนหรือประกันสังคม สิ่งที่ผมทำก็คล้าย ๆ กับการที่คุณไปเดินห้างแล้วเห็นพนักงานที่มาเชียร์สินค้า ซึ่งหลายคนก็เข้าใจผิดว่าเป็นพนักงานของห้างแต่จริง ๆ แล้ว เขาไม่ใช่พนักงานของห้างแต่เป็นพนักงานที่บริษัทเจ้าของสินค้าส่งมา บุญคุณที่เจ๊มีกับผม
และเราก็ทำงานด้วยกันอย่างดี สินค้าเริ่มขายดีขึ้น ผมเองก็ไม่มีเงินทุนที่จะสั่งล็อตใหญ่ เจ๊เลยออกเงินให้กับผมก่อนโดยข้อตกลงคือ ถ้าเจ๊แกสั่งสินค้า ห้าล้านบาท แกจะให้เงินผมมาก่อน และผมจะส่งของหลังจากนั้น หนึ่งอาทิตย์ หลายคนคิดว่าอยู่ดี ๆ เจ๊มาเชื่อใจให้เงินผมมาได้อย่างไง บางคนถึงกับหาว่าผมมีอะไรกับเจ๊รึป่าวบอกได้เลยครับเจ๊แกเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมากไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเลย แต่ที่แกให้ผม แกเริ่มให้จากน้อย ๆ ก่อนครับ เริ่มแรกก็หลักแสน แล้วซักพักก็หลักล้าน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปี ๆ เมื่อเจ๊สั่งของแกก็ได้ของครบทุกครั้ง ผมไม่เคยหนีไปไหน แกก็เลยเชื่อใจแล้วก็ให้มากขึ้น เมื่อเป็นแบบนี้เราทั้งสองคนต่างก็ได้ประโยชน์ และก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แกเลยบอกทุกคนว่าผมเป็นลูกบุญธรรม ไม่ใช่อยู่ ๆ เจอหน้ากันแกก็ให้ผมเป็นลูกบุญธรรมเลย
สิ่งที่ทำให้ผมรวย
เมื่อผมซื้อกับต่างประเทศไปได้ซักพัก ผมก็ต่อรองให้โรงงานลดราคาให้ผมเพราะซื้อมากขึ้นหลายเท่าตัว ราคาที่เคยซื้อ 90 เหลือ 70 ผมก็เก็บส่วนต่าง 20 นั้นเข้ากระเป๋าผมเอง โดยโกหกเจ๊ว่าซื้อมาที่ราคา 90 เหมือนเดิม
ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อสินค้าขายดีขึ้นมาก ก็มีบริษัทนำเข้าหลายบริษัทมาเสนอสินค้าให้เจ๊ แต่เจ๊ก็ไม่ซื้อ คู่แข่งพวกนั้นจึงบอกเรื่องที่ผมโกหกราคาซื้อ ให้เจ๊ฟัง พอแกรู้เรื่องแกก็เลยโกรธผม แล้วเราก็ทะเลาะแตกหักกันตรงนี้ แกก็ไม่ซื้อสินค้ากับผมอีก โดยแกเริ่มเปิดบริษัทเองและก็เริ่มนำเข้ามาเอง โดยสินค้าที่แกนำเข้าก็คือยี่ห้อ SEC ส่วน ยี่ห้อ VERSUS นั้นแกไม่สามารถซื้อได้เพราะสัญญาที่เซ็นต์ไว้แต่แรกมันเป็นชื่อของบริษัทผม แล้วเราก็กลายมาเป็นคู่แข่งกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เรื่องราวที่ทุกคนเคยอ่านกันมานั้นเป็นเรื่องที่มีคนแต่งขึ้นมา ผมรู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่ให้ร้ายผมไม่เคยออกจากปากของเจ๊รัตนาแม้แต่คำเดียวเพราะผมรู้จักแกดี แกเป็นคนที่ปากร้ายแต่ใจดีและแกก็จะไม่พูดเรื่องไม่จริง ทุกคนไม่เคยสงสัยเหรอครับว่าเรื่องออกจะดังว่าผมไปโกงเจ๊มา แต่เจ๊ไม่เคยออกมาพูดแม้แต่คำเดียว แต่ที่มันเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยว ในเวลาที่ผมออกสื่อเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมแยกกับเจ๊มาได้ปีกว่า ยอดขายของผมเพิ่มขึ้นมาก 3 เท่าเพราะลูกค้าหลายคนเดินเข้าไปที่อู่จะบอกว่าเอาอุปกรณ์แก๊สของคุณแม่สายน่ะ หลายครั้งยังไม่รู้จักยี่ห้อเลย ซึ่งต้องมีคนเสียผลประโยชน์แน่นอน และสิ่งที่จะหยุดยอดขายของผมได้นั้นก็คือการทำลายชื่อเสียงของผมลงซะ ตอนนั้นในวงการแก๊สก็จะมีผมกับเจ๊ที่ถือว่าเป็นรายใหญ่ ก็น่าจะมีมือที่ 3 สร้างแผนการเพื่อมาทำลายชื่อเสียงของผมกับเจ๊ลง เค้าก็จะได้ประโยชน์ และขึ้นมาเป็นรายใหญ่แทนทันที และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้น