เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายธนพล สินสนอง หรือ “ตูมตาม เชิญยิ้ม” ดาวตลกรุ่นใหญ่ พร้อมด้วยนายสุเชษฐ์ หรือ เก่ง รัตนานนท์ อายุ 32 ปี นักแสดงภาพยนตร์โฆษณา อยู่ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ธงชัย โตเจริญ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดี น.ส.นภัสกร หรือ จุ๊บ แดงบรรจง อายุ 26 ปี ผู้จัดรายการเพลง ดีเจสถานีวิทยุ ชาวทุ่งเรดิโอเน็ตเวิร์ก ซึ่งแอบอ้างชื่อดาวตลก “ตูมตาม เชิญยิ้ม” ว่าจะกำกับภาพยนตร์เรื่อง “จึ่งนึ่ง ตะลึงโลก” ภาพยนตร์แนวคอมมาดี้ แล้วติดต่อขอสปอนเซอร์จากบุคคลต่างๆ

11.jpg

โดยนายสุเชษฐ์ ถูกหลอกให้ร่วมหาเงินมาสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว แลกกับบทแสดงเป็นตัวเด่นในภาพยนตร์ จนสูญเงินไป 2 แสนบาท แต่กลับไม่มีการถ่ายทำและแม้จะทวงเงินคืนก็ไม่สามารถติดต่อได้

นายธนพล หรือ ตูมตาม เชิญยิ้ม ดาวตลกรุ่นใหญ่ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้เจอ น.ส.นภัสกร โดยเพื่อนแนะนำมา แล้วก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการทำภาพยนตร์เรื่อง “จึ่งนึ่ง ตะลึงโลก” อันนี้ตนตะลึงจริงๆ เลย และจะให้ตนเป็นผู้กำกับ ให้นายพีรวัส หรือ วรพจน์ โพธิเนตร เป็นโปรดิวเซอร์และเขียนบทภาพยนตร์ดังกล่าว เสร็จสรรพก็หายไปเป็นเดือน ตนยังแนะนำว่าถ้าจะทำก็ต้องหานายทุนมา โดยเราต้องนำเสนอความน่าสนใจในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้

นายธนพล เปิดเผยอีกว่า จากนั้นก็ได้ไปพบกับนายสุเชษฐ์ ซึ่งเคยมีผลงานถ่ายภาพยนตร์โฆษณา และทำกิจการขายเครื่องเสียงอยู่ แต่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเป็นการส่วนตัว ต่อมาได้มีการติดต่อทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ชักชวนให้มาร่วมแสดงภาพยนตร์ โดยนายสุเชษฐ์ ยังสอบถาม น.ส.นภัสกร ด้วยว่า ทำงานอยู่ในวงการนี้ด้วยหรือ ภายหลังก็มีการชักชวนให้ร่วมแสดงภาพยนตร์

แต่ที่เริ่มผิดสังเกตตั้งแต่แรก คือ การนัดพบกัน ค่าใช้จ่ายต่างๆ เขาก็จะอ้างปัญหาติดขัดและให้นายสุเชษฐ์ เป็นฝ่ายออกให้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่เขาทำมีการอ้างชื่อ รูปภาพ และปลอมลายเซ็นของตนด้วย จึงทำให้ตนได้รับความเสียหาย

ขณะที่ นายสุเชษฐ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยรับงานถ่ายภาพยนตร์โฆษณาสินค้าหลายชิ้น อาทิ โฆษณาแอร์ยี่ห้อหนึ่ง (ยูนิแอร์) โฆษณาอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่ง (เจนิฟู้ด) และโฆษณาของผู้ให้บริการทีวีดาวเทียมระบบบอกรับสมาชิก (ทรูวิชั่นส์) โดยเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้รู้จักกับ น.ส.นภัสกร ทางไลน์เนื่องตนได้โพสต์ขายเครื่องเสียง เมื่อได้ติดต่อพูดคุยกันสักพัก เขาก็ชักชวนตนให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีการนัดคุยรายละเอียดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านซอยนวลจันทร์

จากนั้นก็ได้รับอีเมล์ และเอกสารแจ้งรายละเอียดต่างๆ มีการอ้างถึงดาราผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่ต้องการให้ตนช่วยหาสปอนเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ แล้วอ้างว่ารายได้ส่วนหนึ่งจะมอบให้กับมูลนิธิบ้านนกขมิ้น เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า เด็กเร่ร่อน และเด็กด้อยโอกาสด้วย

นายสุเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ครั้งแรกตนยังไม่ได้ตัดสินใจรับงานนี้ โดยได้ปรึกษากับครอบครัว ซึ่งทางพ่อแม่ตน ก็ให้การสนับสนุน เพราะเห็นว่าที่ผ่านมา ตนก็ยังไม่เคยมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เลย จึงคิดว่าควรจะคุยกันให้เป็นกิจลักษณะ ต่อมาจึงได้นัดหมาย น.ส.นภัสกร มาพูดคุยกับตนที่บ้านพักย่านบางกะปิ และตกลงรับงานแสดงดังกล่าว

โดยมีการโอนเงินสนับสนุนให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผ่านบัญชีธนาคารในชื่อ “อังคณา ท้าวศิริกุล” และ “ขวัญภสันต์ โพธิเนตร” บัญชีละ 1 แสนบาท รวม 2 แสนบาท ส่วนรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ตนจะได้รับบทบาทเป็นตัวแสดงที่ชื่อ “เพทาย” มีกำหนดเปิดกล้องถ่ายทำในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตนจะได้รับค่าตัว 8 หมื่นบาทต่อคิวการแสดง

นายสุเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ภายหลังเตรียมพร้อมในการซักซ้อมบท และรอเวลาจนถึงกำหนดในเดือนมีนาคม ก็ยังไม่มีการเปิดกล้องถ่ายทำ แม้จะพยายามติดต่อสอบถามกับ น.ส.นภัสกร แต่ก็ติดต่อไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมานาน ตนจึงคิดว่าน่าจะเป็นการหลอกลวง จึงพยายามสืบหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ น.ส.นภัสกร  และได้ติดต่อสอบถามไปยังดาวตลกคนดัง และผู้ที่ถูกอ้างชื่อ ทำให้ทราบว่ามีการแอบอ้างเพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือในการหาสปอนเซอร์เพื่อสร้างภาพยนตร์เท่านั้น อย่างไรก็ดี เมื่อตนได้ติดตามจนพบตัว น.ส.นภัสกร จึงมีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง น.ส.นภัสกร ยินยอมจะคืนเงิน แต่ให้ทำสัญญากู้ยืมเงินไว้ โดยมีกำหนดคืนเงินจำนวน 2 แสนบาท ให้ภายในวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา

นายสุเชษฐ์ กล่าวว่า พอถึงกำหนดชำระเงินคืน เขาก็เบี้ยวไม่ยอมคืนเงินให้ตน แม้ว่าจะได้ทำสัญญากู้ยืมเอาไว้ เขาผิดนัดโดยคิดว่าเอาเรื่องไม่ได้ แต่ตนได้ไปปรึกษากับเพื่อนที่เป็นตำรวจมาบ้าง ก่อนจะนัดหมายกับพี่ตูมตาม ดาวตลกรุ่นใหญ่ เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน บก.ป.ในครั้งนี้

ด้าน ร.ต.ท.ธงชัย ระบุว่า หลังจากสอบถามในรายละเอียดแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของนายธนพล นั้น เป็นความผิดอาญา เนื่องจากมีการปลอมลายเซ็น มีการใช้ภาพและข้อมูลต่างๆ ซึ่งเข้าข่ายปลอมแปลงเอกสาร จึงให้คำแนะนำให้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ท้องที่เกิดเหตุ อีกส่วนคือกรณีของนายสุเชษฐ์ นั้น เป็นความผิดทางแพ่ง ซึ่งผู้เสียหายจะต้องตั้งทนาย เพื่อฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้มีการชดใช้เงินคืน หรือเพื่อเรียกค่าเสียหายต่อไป

ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE5UazFOalF3TXc9PQ==&subcatid=

 

 

เรื่องน่าสนใจ