กรณีความเฮี้ยน โค้งร้อยศพ ถ.รัชดาฯ กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ทันที หลังสำนักงานเขตประกาศเดินหน้าปรับภูมิทัศน์ด้วยการเก็บของเซ่นไหว้
ตั้งแต่ รูปปั้นกองทัพม้าลาย ชุดไทยจำนวนมาก ศาลพระภูมิมหาศาล ตุ๊กตาหัวขาด ตุ๊กตานางรำ พวงมาลัย และอาหารเครื่องเซ่นอื่นๆ อีกมากมายที่ตั้งอยู่เต็มบริเวณโค้ง
ลามมาถึงบนสะพานลอย ในมุมของความเชื่อเรื่องลี้ลับมันจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่เชื่อเรื่องแบบนี้อย่างมากมาย
ไทยรัฐออนไลน์ลงพื้นที่พิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความเฮี้ยน “โค้งร้อยศพ” บริเวณหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกว่า แท้จริงแล้วมีวิญญาณเฮี้ยนอยู่แบบที่หลายคนเชื่อจริงไหม
ถ้ามีจริงๆ วิญญาณที่สิงสถิตเหล่านี้ต้องการจะสื่อสารอะไร ต้องการอะไร และมีความคิดเห็นอย่างไรกับการขนย้ายและปรับภูมิทัศน์เหล่านี้ ฯลฯ
เราต่อสายโทรศัพท์หา ณวรชา พินิจโภคากร หมอปลายชื่อดัง ผู้ที่อ้างว่าติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการเดินทางไปครั้งนี้ว่า
นอกจากจริงๆ แล้วมีวิญญาณเฮี้ยนอยู่แบบที่หลายคนเชื่อไหม ถ้ามีวิญญาณเหล่านี้ต้องการจะสื่อสาร ต้องการอะไร และรู้สึกอย่างไรกับการรื้อเครื่องเซ่นไหว้และขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ อนุญาต หรือ โกรธแล้วต้องการอะไร?
ที่สำคัญเพื่อเป็นการพิสูจน์ที่สมบูรณ์ เราต้องการพิสูจน์ความสามารถของ ‘หมอปลาย’ ที่อ้างตัวว่าสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ด้วยการตั้งกล้องวิดีโอเก็บภาพใต้ต้นโพธิ์เฮี้ยนที่หลายคนเชื่อ
พร้อมกับให้เธอทำพิธีให้วิญญาณมาแสดงอะไรก็ได้ผ่านกล้องของเราเพื่อการันตีเรื่องราวการสื่อสารกับวิญญาณที่ถ่ายทอดจากปาก หมอปลายตอบตกลงแบบไร้เงื่อนไข
การพิสูจน์จึงเริ่มต้นกลางดึกของวันหยุดที่ผ่านมา และนี่คือบทสัมภาษณ์เรื่องราวที่พิสูจน์ให้เห็นด้วยตา แบบไม่ชี้นำ แต่โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
สื่อสารกับวิญญาณมีจริงหรือไม่..?
การพิสูจน์เริ่มต้นกลางดึกของวันเสาร์ (10 ม.ค.58) ที่ผ่านมา เรานัดหมายกัน หมอปลายมาพร้อมกับแม่ ทักทายกัน ก่อนจะลงพื้นที่จริงๆ พื้นที่น่ากลัวใต้โค้งต้นโพธิ์กลางดึก
เธอขอเดินสำรวจรอบๆ นอก ก่อน โดยมีเราเดินตามห่างๆ ใช้เวลาอยู่นาน พร้อมกับทำท่าทำปากราวกับพูดคุยกับใครแบบไม่มีตัวตนอยู่ ที่สุดหมอปลายบอกกับเราว่าที่นี่มีวิญญาณ (จากการถูกรถชนตาย วิญญาณต้นไทร และวิญญาณผีเฮี้ยนจากกุมาร ตุ๊กตาแตกหักที่มีคนมาทิ้งเอาไว้ทั้งที่รู้หรือไม่รู้) แบบที่ลือกันอย่างแน่นอน
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราตกลงกันว่าจะเดินเข้าไปใกล้พื้นที่อาถรรพณ์ด้วยการข้ามถนน 4 เลนอย่างยากลำบาก เนื่องจากรถบริเวณนั้นวิ่งลงสะพานมาเร็วมากๆ
แม้เวลาจะค่อนข้างดึกรถก็ยังขวักไขว่ใช้เวลาอยู่นานถึงจะข้ามถนนและเดินเข้าไปบริเวณต้นโพธิ์ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยของเซ่นไหว้
หมอปลายนำหน้าแล้วก็ทำพิธีจุดธูปดำควันลอยกลิ่นหอมจากธูปฟุ้งกระจายตามแรงลมที่แรง จุดธูปเพื่อสื่อสารกับวิญญาณ ใช้เวลาราว 5 นาที
เธอก็หันมายิ้มอธิบายว่าพร้อมกับหันหน้าไปรอบๆ หลายครั้ง (ภายหลังหมอปลายบอกว่าขณะกำลังพูดคุยมีวิญญาณมามุงดูเรามากมาย) พร้อมกับบอกสิ่งที่วิญญาณต้องการมีอยู่ 4 อย่าง
1.ย้ายของได้ แต่ขอให้อย่าเอาสิ่งของเครื่องเซ่นไหว้ไปทำบุญเอาไปขาย 2.ต้องการให้คนทำสังฆทานไปให้ 3.ขอให้อย่าตัดต้นโพธิ์ใหญ่ เล็มได้แต่ขอร้องอย่าตัด และ 4.ขออย่าให้ใครมารบกวนที่นี่หลังจากนี้เพราะถ้ามายุ่งเขาจะเฮี้ยน
“ถามว่าตรงนี้เกิดอุบัติเหตุก็เพราะวิญญาณหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ใช่เพราะวิญญาณตรงนี้ไม่ได้มีพลังขนาดนั้น อุบัติเหตุเกิดจากความประมาทของคน ความเมา และแสงไฟไม่เพียงพอ” หมอปลายย้ำ
ตั้งกล้องพิสูจน์วิญญาณโค้งร้อยศพ รัชดาฯ..!
หลังจากสื่อสารความต้องการของเหล่าวิญญาณเสร็จ ก็มาถึงขั้นตอนพิสูจน์ว่าตามข้อตกลงว่าหากจะตั้งกล้องตรงไหน ถึงจะสามารถเห็นวิญญาณได้ หมอปลายหลับตาพร้อมกับอธิษฐานขออนุญาตให้วิญญาณที่สิงสถิตตรงนี้ปรากฏภาพในกล้องให้ทุกคนได้เห็นว่าวิญญาณมีจริงๆ คนที่จะไม่มาลองของและมารบกวน หรือหากไม่มีภาพวิญญาณปรากฏคนที่กลัวจะได้เลิกกลัว
ตั้งกล้องแช่ไว้ที่ต้นโพธิ์เสร็จสรรพพวกเราก็ถอนทีมไปรออยู่อีกฝั่งของถนนเวลาขณะนี้ประมาณเที่ยงคืนนิดๆ แช่ไว้ 15 นาที ถึงเวลาเราก็นำกล้องมาเปิดดู ภาพต่างๆ ก็เหมือนเป็นปกติ
มีที่น่าสังเกต ทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะช่วงหนึ่งของเทปขณะที่ช่างภาพกำลังแพนกล้องช้าๆ เพื่อเก็บภาพเครื่องเซ่นไหว้ช็อตสุดท้าย
อยู่ดีๆ พอแพนกล้องมายังบริเวณ ‘กุมารหัวขาด’ กล้อง (รุ่น 7d mark 2) ระบบโฟกัสอัตโนมัติไม่สามารถใช้ได้ช่วงหนึ่ง ซึ่งก็ไม่สามารถรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หรืออาจจะเป็นเพราะปัจจัยเรื่องแสง แต่ก็สร้างความงวยงงให้กับทีมงาน
วิทยาศาสตร์อธิบายโค้งร้อยศพ รัชดาฯ…!
อีกมุมของวิทยาศาสตร์ก็มีคนอธิบายเรื่องราวของความเฮี้ยนของโค้งร้อยศพที่ถนนรัชดาฯก็มีผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้ใช้รถใช้ถนนที่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องโค้งร้อยศพต่างๆ อีกมุม
ด้านนายเกชา ธีระโกเมน เลขาธิการสภาวิศวกร กล่าวว่า การก่อสร้างถนนของไทยในอดีต มาตรฐานยังไม่ได้ตามระดับสากล ที่ปกติต้องมีความลาดเอียงรับกับโค้ง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเสียความลาดชัน ถนนประเทศไทยหลายแห่งยังมีปัญหาแบบนี้ การแก้ไขต้องตรวจสอบความลาดเอียง และปรับปรุงทำให้ด้านซ้ายต้องสูงกว่าด้านขวาในช่วงเข้าโค้ง
ส่วนพื้นถนน ต้องตรวจสอบจะให้ขรุขระไม่ได้ แต่หากเรียบไปก็หลุดโค้ง หากตรวจสอบแล้วไม่สามารถปรับแก้ไขได้ ให้กำหนดความเร็วเมื่อต้องขับผ่านช่วงนั้น ติดตั้งเครื่องกั้นทาง มีป้ายบอกเตือนหรือสัญลักษณ์ที่บอกว่าเป็นโค้งอันตราย สำหรับเรื่องอาถรรพณ์พวกเราวิศวกรไม่เชื่อ
แต่เชื่อเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยมากกว่า ทั้งนี้ ที่วิศวกรรมสถานมีวิศวกรที่เชี่ยวชาญด้านการทาง หากต้องการให้ไปเสนอความเห็นก็ยินดี
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางบอกว่า สาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุโค้งรัชดาฯ เรื่องระยะการมองเห็นที่น้อยเกินไป กว่าจะเห็นว่าโค้งก็คือมาถึงโค้งแล้วพอดี การยกโค้งอาจมีปัญหา
เช่น ไม่ยกตัวขึ้นรับ แนวเอียงไม่พอดี หรือไม่ได้ถูกยกโค้งเลย เรื่องพวกนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งหากมีการขยายหรือปรับปรุงถนนเพิ่มก็อาจจะหมดปัญหา เรียกได้ว่าเป็นปัญหามาจากการออกแบบถนนที่ไม่ดี
นอกจากนี้ เรื่องความสว่างของถนน เครื่องหมาย หรือสีเตือนอันตรายต่อผู้ขับขี่น้อยเกินไป ทำให้ไม่ทันชะลอความเร็วหรือระมัดระวังมากขึ้นนัก ปัจจัยเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุนั้นมาจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่ถนนออกแบบเอาไว้
ซึ่งถนนในเขตเมืองรวมถึงถนนเส้นดังกล่าวจะถูกออกแบบมาให้รองรับความเร็ว และเมื่อขับขี่กันในช่วงกลางคืนก็ใช้ความเร็วสูงกว่าค่าที่รองรับได้ประกอบกับถนนกว้างถึง 4 เลน
หากไม่ได้ยกโค้งก็จะหลุดไปชนกับต้นไม้ ชนเกาะกลางถนนจนเกิดบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมเมาแล้วขับ เนื่องจากถนนดังกล่าวเชื่อมต่อกับสถานบันเทิงหลายแห่ง
ขณะที่ นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ชื่อดังได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้อ้างว่า
“ไอ้ศาลตรงต้นโพธิ์ โค้งร้อยศพ อะไรเนี่ย.. ฝีมือเพื่อนผมมันเป็นคนโปรโมตเอง เคยนั่งคุยกับมันในวงเหล้าเรื่องนี้แบบขำ ๆ มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว สมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนถนนรัชดาฯตัดใหม่ ๆ ศาลอาญาตรงนั้น กำลังสร้าง ไอ้เพื่อนผม มันเป็นนายช่าง วิศวกร คุมโครงการก่อสร้างอยู่ที่นั่น
คราวนี้ตอนดึก ๆ พวกคนงานก่อสร้างกะดึก ที่ก่อสร้างโครงการศาลอาญาเลิกงานแล้วก็ชอบเดินข้ามถนน กลับมาแคมป์คนงานที่ฝั่งตรงข้าม มันก็เดินข้ามตรงนั้น ที่มีต้นโพธิ์อยู่
พวกแก๊งคนงานพวกนี้ มันชอบไปแวะยืนเยี่ยวเป็นกลุ่ม ที่โคนต้นโพธิ์นั่นประจำ ..ปัสสาวะทุกวัน จนกลิ่นมันเหม็นหึ่ง ขนาดกลิ่นเยี่ยวโชยข้ามจากเกาะกลางถนนมาถึงฝั่งถนนข้าง ๆ ไอ้เพื่อนผมมัน ที่เป็นโปรเจกต์แมเนเจอร์ อยู่ที่นั่น ก็เลยออกอุบายไปสำเพ็ง ซื้อผ้าแพรเจ็ดสี มาพันรอบต้นโพธิ์ซะ มีจัดฉากเอาธูปมาปัก ๆ ด้วย เป็นพร็อพพองาม
หลังจากนั้น ไม่มีคนงานไปแวะเยี่ยวที่ต้นโพธิ์นั่นอีกเลย.. แล้วพอไปๆ มันดันมีคนเอาของมาไหว้เพิ่ม มีคนเอาม้าลายมาแก้บน อะไรอีกก็ไม่รู้ เยอะแยะไปหมด
จนตรงต้นโพธิ์นั่น กลายเป็นสถานที่เฮี้ยน ฮิตติดชาร์ต ไปในที่สุด ไอ้เพื่อนผมคนนั้น มันบอกว่าขับรถผ่านทีไรเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้แทบทุกครั้ง ก็ปล่อยให้มันเป็น Urban Legend กันต่อไป
และทั้งหมดนี่ก็เป็นเรื่อง 2 มุม ไม่มีข้อสรุป แล้วแต่ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ และโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม.
