เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการจัดการประกวด Mr Gay World Thailand 2019 ที่เมมโบคลับ ย่านพระรามสาม ซึ่งเป็นการประกวดที่ไทยจัดเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้เป็นการจัดงานร่วมกันระหว่างองค์กร AHF หรือ Aids Health care Foudation องค์กรเพื่อผู้ติดเชื้อ HIV ระดับโลก ร่วมกับบางกอกเรนโบว์ ในปีที่ 3 ก็มาในแนวคิด “Dare To Shine” หรือ “เกย์กล้าก้าว” เพื่อส่งเสริมให้เกย์รู้ว่า เราต่างก็มีศักยภาพที่ทำอะไรเพื่อสังคมได้ แค่กล้าที่จะก้าวออกมา พูด ทำสิ่งที่ผลักดันไปสู่สังคมที่เท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิมนุษยชน LGBT
นายนิกร ฉิมคง ประธานองค์กรบางกอกเรนโบว์ ผู้จัดงาน กล่าวว่า เวทีนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการสรรหาเกย์ที่มีความภูมิใจในตัวเอง และมีความตั้งใจจะรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBT ให้ได้มีตัวตนและได้มีพื้นที่ทำหน้าที่นี้ อีกทั้งยังมีบุคลิกที่แตกต่างจากเวทีอื่น คือการไม่ได้มุ่งเน้นด้าน “ความงาม”อย่างเป็นรูปแบบนิยม แต่ผู้เข้าประกวดมีความหลากหลายทั้งด้านเพศสภาพของความเป็นเกย์ ทั้งเกย์แมน เกย์สาว และเรื่องช่วงวัยที่กว้างว่าเวทีอื่น คือ ตั้งแต่ 18-45 ปี เพื่อเปิดให้เกย์ได้มีส่วนร่วมกับการประกวดมากที่สุด ได้มีการนำความคิด ความรู้ ประสบการณ์หลากหลายมาแลกเปลี่ยนกัน
ความชัดเจนว่า “ผู้เข้าประกวดต้องตั้งใจทำเพื่อสังคม” ออกมาตั้งแต่โจทย์บังคับของเวทีแม่ในต่างประเทศ และกลายมาเป็นโจทย์หลักของเวทีไทยด้วย คือผู้เข้าประกวดจะต้องมีการทำ “แผนรณรงค์ทางสังคม” หรือ Social Campaignในเรื่องเสริมสร้างสิทธิมนุษยชน LGBT ซึ่งได้เคยมีการสอบในรอบแคมเปญไปแล้วก่อนหน้านี้ และผู้ที่ชนะในรอบแคมเปญ คือ “เจส เจษฎา ปลอดแก้ว” หมายเลข 16 ที่ทำแคมเปญเรื่อง pride at work ส่งเสริมให้ยกเลิกการนำเรื่องเพศมาเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน โดยอาจให้มีการสร้างตัวชี้วัดเพื่อความเท่าเทียม และมีรางวัลสำหรับบริษัทที่สร้างความเท่าเทียม
การประกวดมีรางวัลในรอบชุดประจำชาติ ซึ่งผู้ชนะคือ “เชน วิเชียร ตุ้นแดง” หมายเลข 18 ทำชุดในชื่อ “ Siam World Class สุวรรณภูมิ” ที่เป็นสนามบินด่านหน้าเพื่อเข้ามาดูสิ่งสวยงามในประเทศไทย เป็นชุดสีขาวที่มีทรวดทรงอ่อนช้อย การประกวดในรอบ best personality คือชุดว่ายน้ำ ที่มีแนวคิดส่งเสริมเรื่องความมั่นใจในรูปร่างตัวเอง ผู้ชนะคือ “นัท ชโยดม สามิบัติ” หมายเลข 9 การปะกวดรอบ formal wear ชุดสูท เพื่อดูบุคลิกภาพ ผู้ชนะคือ “เมฆ ณัฐวุฒิ ตำหนิดี” หมายเลข 1
จากนั้นมีการประกาศผู้เข้ารอบ 11 คนสุดท้าย มีการตอบคำถามเพื่อคัดเลือกให้เหลือ 3 คนสุดท้าย ซึ่งผู้เข้ารอบคือ “เจส เจษฎา ปลอดแก้ว”หมายเลข 7 “นัท ชโยดม สามิบัติ”หมายเลข 9 , “คิม สมพงษ์ คงรุ่งเรืองสกุล”หมายเลข 16
คำถามรอบ 3 คนสุดท้าย นัท ชโยดม ได้คำถามถึงความการจัดงาน LGBT pride ในประเทศไทยว่าควรมีหรือไม่ ซึ่งเขาตอบว่า “LGBT Pride ในทุกๆ ประเทศเป็นสัญลักษณ์ของความสุข และเป็นการเฉลิมฉลองความเท่าเทียมกัน ในไยควรจัดเพื่อให้พวกเราได้มารวมตัวกันแล้วแสดงให้รัฐบาลและทุกคนได้เห็นว่า พวกเราก็เป็นส่วนสำคัญของสังคม เมื่อเราได้มารวมกันแล้ว เราจะทำให้เขาได้เห็นว่าเราทำได้มากกว่าที่เขาคิด และเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเท่าเทียม”
เจส เจษฎาได้คำถามเกี่ยวกับปัญหาการเหยียดเพศในแบบเรียนไทย ซึ่งเขาได้ตอบว่า “แบบเรียนควรต้องทำความเข้าใจกับเด็ก คือเรื่องความหลากหลายทางเพศว่าเป็นเรื่องปกติ เด็กๆ ควรเข้าใจในเรื่องนี้ตามพัฒนาการของวัย เพื่อให้เกิดการเลิกตีตรา เลิกเหยียดกลุ่ม LGBT”
คิม สมพงษ์ ได้รับคำถามว่า คิดอย่างไรกับการที่ “Angela Ponse”เป็นสาวข้ามเพศ ได้รับเลือกเป็น Miss Universe (MU ) ของสเปน คำตอบของเขาคือ นี่คือสิ่งที่โลกต้องจดจำ เพราะมันคือความเท่าเทียม ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ต่อไปทุกประเทศก็จะเปิดรับเรื่องนี้มากขึ้น และวันหนึ่ง เรื่องเพศจะกลายเป็นสมมุติอันหนึ่ง และทุกคนทำอะไรโดยอยู่บนพื้นฐานว่า เป็นมนุษย์เท่าเทียมกันแทน”
และในที่สุด มีการประกาศรางวัลสุดท้าย รองอันดับสองคือ “คิม สมพงษ์” รองอันดับหนึ่ง คือ “เจส เจษฎา” ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น Mr Gay WorldThailand 2019 ก็คือ “นัท ชโยดม” หนุ่มซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม ซึ่ง “นัท ชโยดม” เป็นหนุ่มอารมณ์ดียิ้มง่าย อายุ 35 ปี พื้นเพเป็นคนมหาสารคาม ทำงานเป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะเคยศึกษาปริญญาโทอยู่ที่ประเทศสวีเดนร่วม 5 ปี
“นัท ชโยดม” อธิบายว่า แรงจูงใจที่มาสมัครประกวดเวทีนี้ เพื่ออยากเชิญชวนLGBT ทุกคน ให้เห็นถึงการก้าวออกจากกรอบมาพิสูจน์ศักยภาพของตัวเอง และมีส่วนได้พัฒนาสังคมเพื่อสิทธิมนุษยชนLGBT เมื่อได้ตำแหน่ง เรื่องเร่งด่วนที่อยากมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวผลักดัน คือเรื่อง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ซึ่งจากร่างที่ออกมาก็มีเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยพอสมควร เพราะมันยังไม่ได้ครอบคลุมการให้สิทธิ์ LGBT ที่จดทะเบียนกันเท่าสิทธิ์ของคู่สมรส เขาอยากมีส่วนร่วมผลักดันให้มันไปถึงจุดร่วมที่เรายอมรับกันได้ ซึ่งหากเราได้สิทธิ์ที่เท่าเทียมกับสมรส อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากคือเรื่องครอบครัวที่มีลูก LGBT เขาทำ campaign ประกวด ชื่อ love your gay son เพื่อสนับสนุนให้ครอบครัวเข้าใจ และรักเยาวชนได้ตามเพศสภาพที่เยาวชนเป็น ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากครอบครัวตัวเอง ที่รักและเข้าใจจนผลักดันเขาไปได้ไกล
ต่อจากนี้ “นัท ชโยดม”จะต้องเตรียมตัวอย่างหนักทั้งเรื่องความรู้ บุคลิกภาพ รูปร่าง เพื่อเป็นตัวแทนเกย์ไทยไปประกวดที่กรุงเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ ซึ่งจะมีการประกวดในช่วงปลายเดือน เม.ย.2562 นี้.