สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม นามว่า TonyHatesJazz ได้ตั้งกระทู้หัวข้อว่า มียุคไหนไหมนะ ที่สถานะของ “มนุษย์เงินเดือน” จะตกต่ำถึงเพียงนี้…?
โดยเนื้อหาของกระทู้มีดังต่อไปนี้ “นับตั้งแต่กระแสสโลว์ไลฟ์ผุดเข้ามาในชีวิตคนรุ่นใหม่ การใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนที่กินรายได้จาก “งานประจำ” ก็พลันดูไร้ค่าปานพารามีเซียม (สัตว์เซลล์เดียวเล็กเสียจนไม่อยู่ในห่วงโซ่อาหาร)
เพราะภาพลักษณ์การทำงานหนัก เงินเดือนน้อย ถูกจิกหัวใช้ ไม่มีอิสระ แรงปะทะสูง ฯลฯ ไหนเลยจะสู้งานอิสระมีเวลากินสตาร์บัคส์ นั่งกินคลีนฟู้ดร้านชิคๆ กระดิกเท้าคุยเรื่องหุ้นในโรงแรมหรูๆ ดีงาม…
เด็กจบใหม่ทุกวันนี้จึงยืดอกเต็มที่เมื่อนัดเลี้ยงรุ่นแล้วได้บอกเพื่อนๆ ว่าตอนนี้เป็นนักลงทุนกำลังจับตาดูตลาดหุ้นในโมซัมบิก หรือเพิ่งเปิดบริษัทสตารท์อัพในซิมบับเว่ ฯลฯ
เพราะมันฟังดูเท่กว่าการมาเป็นลูกจ้างในบริษัทใหญ่ๆ ที่ก่อตั้งมายาวนาน งานมั่นคง ซึ่งเป็นแค่เพียง “มนุษย์เงินเดือน” ธรรมดาๆ ในสายตาของเขา
งานราชการไม่ต้องพูดถึง ถ้างานเอกชนยังดูถูกกันจนเป็นพารามีเซียม งานภาครัฐก็เป็นยิ่งกว่าเชื้อราในร่มผ้า ยกเว้นคนที่พ่อแม่บังคับเท่านั้น…
อาการดูถูกคนทำงานประจำไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ แต่มนุษย์เงินเดือนถูกปั้นแต่งภาพให้ตกต่ำเกินจริงมาตั้งแต่ยุค Work at Home ที่เอางานขายตรงมาบังหน้าการทำแชร์ลูกโซ่ ด้วยการขายฝันให้น้องๆ นิสิต นักศึกษาจบใหม่
โดยอ้างถึง “อิสระภาพ” ที่ไม่ต้องเข้างานแต่เช้า ทำงานได้ตามสะดวก แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงฝันกลางวันที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะงานน้อยแต่รายได้ดีไม่มีในโลก กว่าจะรู้ตัวก็เสียเงินให้ต้นสายเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหวังได้ผลตอบแทนในอนาคต ดีออก…
มาถึงวันนี้คนทำงานประจำก็ถูกซ้ำเติมด้วยค่านิยมใหม่ๆ ที่ดูโก้เก๋ “ลาออกซะ ถ้าอยากรวย” ไม่ก็ “รวยกว่าด้วยงานอิสระ” เห็นได้ทั่วไปนับสิบเล่มบนแผงหนังสือ โดยไม่มีสักเล่มเลยที่บอกว่า “ทำงานประจำเถอะ มั่นคงกว่า”
การทำอาชีพอิสระ หรือกระโจนสู่สมรภูมิสตาร์ตอัพนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แถมยังสร้างเศรษฐีใหม่มาแล้วหลายราย แต่ในทางหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน ที่สำคัญ
คนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับคนเล่นหุ้น ที่คนเจ๊งหุ้นเขาไม่ได้ออกมาเขียนหนังสือให้เราได้รับรู้ เราจึงเห็นแต่คนรวยหุ้นซึ่งคิดเป็นจำนวนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของนักลงทุนทั้งหมดในตลาด
“งานประจำ” ที่โดนดูถูกเหยียดหยามเหลือหลายนั้น ในมุมหนึ่งมันเป็นรากฐานชั้นดีให้น้องๆ ได้สร้างฐานความรู้ สร้างคอนเน็คชั่นกับองค์กรใหญ่ๆ และมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อม แถมด้วยทรัพยากรมากมายให้เราได้ลองใช้ ก่อนที่จะกระโจนเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเองในอนาคต
การเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจเป็นการปูทางสู่ผู้บริหาร เป็นมือปืนรับจ้าง ได้เติบโตเป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กร ซึ่งทุกวันนี้หากน้องๆ มีฝีมือ หลายๆ องค์กรก็มี Fast Track ปั้นขึ้นเป็นนักบริหารรุ่นใหม่ มีสิทธิประโยชน์มากมายให้ ทั้งเงินเดือนสูงๆ รถประจำตำแหน่ง หุ้น สวัสดิการต่างๆ จนมีรายได้ไม่แพ้เจ้าของกิจการเลย
การดูถูกงานประจำว่าเป็นทาส ดักดาน เป็นลูกจ้างที่ไม่มีวันก้าวหน้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกตัวเองว่าต้องเป็นพนักงานระดับล่างต๊อกต๋อยไปตลอดชีวิต
ไม่ได้คิดถึงการที่เราจะเติบโตในองค์กร เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ เป็นผู้อำนวยการ เป็นกรรมการบริหาร หรือแม้แต่เป็นซีอีโอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อแวดวงธุรกิจเช่นเดียวกับเจ้าของบริษัท
พารามีเซียมที่เห็น อาจวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตล้ำหน้า กลับมาเคาะกะโหลกมนุษย์สโลว์ไลฟ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ ใครจะรู้…
อย่างไรก็ตาม หลังจากกระทู้นี้ได้เผยแพร่ออกไปปรากฏว่าผู้มาแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย บางคนถึงกับตำหนิเจ้าของกระทู้ที่อคติกับงานประจำมากไป
แต่บางคนก็เห็นด้วย ซึ่งถือเป็นนานาจิตตังที่ใครก็สามารถแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายได้เช่นกัน