ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า ตามที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ได้ดำเนินการวิเคราะห์สภาพปัญหาการศึกษาของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2557-2558 นั้น ขณะนี้ได้มีการรายงานผลมายัง สกศ. แล้ว
โดยผลการวิเคราะห์ในภาพรวมพบว่าระบบการศึกษาของไทยยังพัฒนาไม่ถึงขีดที่จะสร้างคนไทยให้มีความสามารถ และทักษะการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยเมื่อพิจารณาด้านหลักสูตร พบว่าประเทศไทยมีหลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับเป้าประสงค์ทางการศึกษา ดังนั้น หลักสูตรในอนาคตต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการสร้างคนแบบใด และวางหลักสูตรให้เป็นแบบนั้น รวมทั้งต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากลไม่ใช่ร่างขึ้นเอง และต้องมีข้อเสนอแนะให้แก่ครูด้วย ไม่ใช่เขียนแผนอย่างดี แต่ครูทำไม่เป็นและนำไปปฏิบัติจริงไม่ได้ ส่วนด้านการประเมินผลนักเรียน พบว่าครูผู้สอนยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการประเมินผล ยังออกข้อสอบตามใจครูอยู่
เลขาธิการ สกศ. กล่าวอีกว่า ยูเนสโก และโออีซีดี ตั้งข้อสังเกตว่าข้อสอบมาตรฐานระดับชาติของไทย ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเชิงลบต่อการศึกษาในภาพกว้าง จึงอยากให้ศึกษาการทดสอบมาตรฐานระดับสากล เช่น การประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA เพื่อนำมาใช้พัฒนาการประเมินผลมาตรฐานระดับชาติให้เป็นสากล และสะท้อนผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริงของนักเรียน
ขณะที่ด้านครูและผู้บริหารโรงเรียน พบว่า การบริหารบุคลากรครูยังขาดประสิทธิภาพ การบรรจุครูเข้ายังมีปัญหา การเตรียมความพร้อมครูก่อนเข้าสู่วิชาชีพ และการพัฒนาศักยภาพครูยังไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นไทยควรจัดทำยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมครูก่อนเข้าสู่วิชาชีพ และส่งเสริมให้ครูปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนเพิ่มขึ้น ส่วนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา พบว่า แต่ละรัฐบาลพยายามให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่ในทางปฏิบัติพบว่าการใช้เทคโนโลยีแต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างกันมาก โดยไทยมักลงทุนแต่อุปกรณ์ แต่เรื่องเนื้อหา การบำรุงรักษา และการพัฒนาครูยังลงทุนน้อย อย่างไร ก็ตาม ผลการวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้เราเห็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข ซึ่ง สกศ. จะนำเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ และนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาการศึกษาชาติต่อไป.