โยเกิร์ตมีประโยชน์มากมาย เเละเป็นเมนูทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนัก โยเกิร์ตยังเป็นอาหารคุณภาพเยี่ยมที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีโปรตีน วิตามินบี 2 และบี 12 ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดและบำรุงระบบประสาท เเต่โยเกิร์ตตามร้านมักมีปริมาณน้ำตาลเป็นหนามทิ่มเเทงใจใครหลายคน วันนี้เรามีทางเเก้ค่ะ ลองทำโยเกิร์ตโฮมเมดเองดูสิคะ เอ้ย!!! ยากไปไหม?? จะบอกเลยค่ะว่าไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ อุปกรณ์ก็สามารถซื้อได้ทั่วไปตามซูปเปอร์ชั้นนำเเละตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอร์รี่ค่ะ เเถมสามารถเติมความหวานกำลังดีเเละวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพอีกด้วย หลังจากได้โยเกิร์ตมายังเอามาทำเมนูอื่นๆได้อีก จะเติมผลไม้สด หรือทานคู่กับสลัดก็อร่อยค่ะ
ส่วนผสมสำหรับโยเกิร์ตประมาณ 500 ml.
ถ้าทำโยเกิร์ตเอง แล้วเจอเนื้อโยเกิร์ตเหลว ไม่เหมือนที่ซื้อทาน ซึ่งสาเหตุและวิธีการป้องกันเรียงตามขั้นตอนการผลิตมีดังนี้
1.1 ต้องไม่ต้มให้นมเดือด ใช้อุณหภูมิสูงสุดเพียง 95C ถ้าต้มจนนมเดือด จะมีนมบางส่วนที่ไหม้และทำให้เกิดกลิ่นนมไหม้ทำให้ไม่หอม
1.2 ถ้าให้ความร้อนกับนมไม่เพียงพอและไม่นานพอ (ไม่ถึง 90-95C เป็นเวลา 5 นาที) เนื้อโยเกิร์ตที่ได้จะเหลว มีน้ำใส ๆ แยกออกมา เพราะความร้อนนี้จะช่วยให้ Whey Protein ที่มีอยู่ในน้ำนมถูกทำลาย
** Whey Protein สร้างโครงสร้างที่เป็นเจลหุ้มน้ำ ทำหน้าที่เหมือนเป็นสารให้ความคงตัวตามธรรมชาติ ทำให้โยเกิร์ตเนื้อเนียนไม่มีน้ำแยกออกมา นอกจากนี้การให้ความร้อนยังช่วยไล่อากาศในน้ำนม เกิดสภาวะที่เหมาะสมกับการเจริญของจุลินทรย์โยเกิร์ต และช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรคและจุลินทรีย์ในน้ำนมที่จะมาเจริญแข็งกับจุลินทรีย์โยเกิร์ตด้วย
2.1 เลือกใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ยี่ห้อที่ใช้แล้วพบว่าได้โยเกิร์ตเนื้อดีกว่าเพื่อนคือ “ยี่ห้อโฟร์โมสต์” (ไม่ได้โฆษณานะคะ) ถ้าต้องการเชื้อโปรไบโอติกด้วยก็เลือกใช้ยี่ห้อที่มีส่วนผสมของเชื้อโปรไบโอติกด้วยก็ได้
2.2 เชื้อจุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นถ้าให้เวลาเชื้อปรับตัวจะทำให้ได้โยเกิร์ตไวขึ้น เราทำให้เชื้อปรับตัวได้โดยเอาโยเกิร์ตที่ซื้อมาเป็นหัวเชื้อมาทำโยเกิร์ตก่อน 1 ครั้งแล้วเอาโยเกิร์ตที่เราทำครั้งแรกมาใช้เป็นหัวเชื้อทันทีโดยไม่แช่เย็นเก็บไว้ หรือเอาหัวเชื้อโยเกิร์ตที่เราซื้อมามาวางไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือในน้ำอุ่นเป็นเวลา 3-4 ชม.ก่อนนำมาเติมในน้ำนมก็จะช่วยได้เช่นกัน
3.1 อุณหภูมิและเวลา ถ้าเราบ่มที่อุณหภูมิต่ำเช่นอุณหภูมิห้อง ก็ต้องใช้เวลานานกว่าการบ่มที่อุณหภูมิสูง
3.2 ระหว่างการบ่มอย่าไปขยับ เขย่า คน หรือเอียงถ้วยดู เพราะโยเกิร์ตจะได้รับการกระทบกระเทือน ทำให้โครงสร้างเจลในตัวโยเกิร์ตถูกทำลาย และมีน้ำใสแยกออกมา เนื้อก็จะเหลว
(**ถ้าต้องการทดสอบดูว่าโยเกิร์ตแข็งพอแล้วหรือเปรี้ยวพอแล้วหรือไม่ ให้ทดสอบช่วงที่ใกล้จะบ่มเสร็จ เช่น ถ้าบ่มที่อุณหภูมิ 43C ก็เช็คดูประมาณชั่วโมงที่ 4 /ถ้าบ่มที่อุณหภูมิห้องก็เช็คดูที่ชั่วโมงที่ 8 ตามสูตรนั่นเอง)
4.1 สูตรที่ให้ เป็นสูตรที่ให้เติมนมผงลงไปในน้ำนมอีก เพื่อให้ได้นมที่มีความข้นสูง จะได้โยเกิร์ตที่มีเนื้อแน่นและหนักกว่า แต่นมธรรมดาก็นำมาทำโยเกิร์ตได้โดยไม่ต้องเติมนมผง เช่นกัน
4.2 เน้นที่ความอร่อย แนะนำให้ใช้นมที่มีไขมันธรรมดา หรือถ้าไม่กลัวอ้วนจะเติมครีมลงไปอีกนิดหน่อยก็ได้ ถ้าโยเกิร์ตมีไขมันมากจะมีเนื้อเนียน หอมอร่อย ตามที่เคยทดสอบมาแล้วน่ะค่ะ
Credit : www.lovefitt.com,