“ฟร้อนท์” เผยชีวิตสู้รันทดที่อเมริกา ก้มหน้าทำงานเลี้ยงลูกเมินคนมอง “ขายตัว”
อดีตนางแบบสาวลูกครึ่งสุดเซ็กซี่ของวงการบันเทิงบ้านเรา “ฟร้อนท์ มอนโกเมอรี่” พร้อมลูกสาว “น้องลีโอนี่” ได้เดินทางอัดรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” โดยมี “อ.ยิ่งศักดิ์” เป็นผู้ดำเนินรายการ หลังจากที่ต้องประสบปัญหาชีวิตคู่จนต้องเลิกรากับดาราหนุ่มอดีตสามี ”กอล์ฟ-กริช หิรัญพฤกษ์” ชีวิตของ ”ฟร้อนท์” ก็ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในสภาพตกอับ จากที่เคยมีงานในวงการทั้งงานละคร เดินแบบ ถ่ายแบบ สุดท้ายแทบไม่มีงานอะไรเลย จึงตัดสินใจหอบลูกสาวไปอยู่อเมริกาทำงานในร้านอาหาร
ณ วันนี้ถือว่า “ลูก” เป็นทุกอย่างของเราใช่มั้ย
“มีวันหนึ่งเรานั่งนับเงินอยู่แล้วเขาเห็น เขาก็ไปแคะกระปุกมาให้ เขาบอกเอาของหนูไปก่อนก็ได้ คือเดือนนั้นเหมือนจะไม่พอใช้จริงๆ สุดท้ายเราก็เอาของเขามา แต่เดือนหลังจากนั้นเราก็บอกว่าไม่เอาแล้วหนูเก็บเงินไว้ ที่แม่ทำงานทุกวันนี้เพราะแม่อยากให้หนูเก็บ ให้หนูไม่เป็นเหมือนแม่”
แต่สุดท้ายเหมือนงานในวงการไม่มีก็เลยหอบลูกไปต่างประเทศ
“ใช่ค่ะ ตอนแรกไปอยู่กับพี่สาว ไปอยู่ได้ 2 เดือน แต่พอดีมันเป็นเมืองเล็กมันไม่มีงานทำ เราไปทานข้าวร้านหนึ่งเราก็ไปเจอน้องพนักนักงานคนหนึ่ง เขาก็ถามว่าเราเป็นคนไทยใช่ไหม เขาคุ้นหน้า เราก็เลยถามเขาว่ามีงานให้พี่ทำไหม เขาก็บอกว่าพี่ เมืองนี้มันเมืองเล็ก มันไม่มีหรอก พี่ต้องไปเมืองใหญ่ๆ แล้วเขาก็ไห้เบอร์มา เราก็โทรไปคุย แต่ไม่ได้บอกว่าเราเป็นใคร เราก็บอกว่าเราอยากทำงานในร้านอาหาร เขาบอกเด็กเสิร์ฟมันไม่มีหรออก มีแต่งานในครัว ซึ่งเราก็บอกเราทำงานครัวไม่เป็น เขาก็บอกงั้นก็ยังไม่มีงาน พออีกวันหนึ่งพี่คนที่เราโทรคุยเขาก็โทรกลับมา เพราะได้คุยกับน้องที่ให้เบอร์ไปแล้วก็รู้ว่าเรา คือ ฟร้อนท์ เราก็เลยได้งานทำ”
หลังจากนั้นชีวิตเป็นไงบ้าง
“พี่เจ้าของร้านน่ารักมาก ให้เราไปอยู่บ้านเขาก่อน 1 วันแล้วก็หาที่ให้เช่า แล้วก็ให้งานเราทำ”
เรามาทำงานที่ร้านอาหารแบบนี้แล้วใครดูลูก
“แรกๆ ก็ฝากเขาไว้ ตอนนั้นลูก 9 ขวบ คือ ตอนแรกที่ร้านเขาให้ฟร้อนท์ทำเป็นบาร์เทนเดอร์ มันเลิกดึกพอผ่านไปไม่กี่เดือนเราก็เริ่มไม่โอเค เพราะห่วงลูก เรากลับดึกไม่ได้เราเลยขอกลับไปทำที่ร้านอาหารเลิก 3 ทุ่ม กลับบ้านเร็วได้ แต่ 5 ทุ่มครี่งเรากระวนกระวาย ลูกไหนจะต้องนอน ไหนจะต้องโรงเรียนตอนเช้า ชีวิตค่อนข้างลำบากพอสมควร ทุกครั้งที่ฝากลูกไว้กับคนอื่น เราก็เป็นห่วง แต่เรารู้เราฝากลูกกับใคร บางที่ก็ฝากกับป้าที่ร้าน บางทีก็ฝากกับบ้านที่เขามีเด็กอยู่แล้ว เขาก็จะมีคอมพิวเตอร์ให้เล่น”
แต่การไปสู้ชีวิตครั้งนี้คนมองไปขายตัว
“มันเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครอยากเห็นคนอื่นดีกว่า แต่ถามว่างาน ณ ตอนนี้นอกจาก 2 ร้านที่ทำอยู่ตอนนี้เราก็ไปเป็นล่ามระหว่างหมอกับคนไข้ คนไข้เป็นคนไทย หมอเป็นฝรั่งเราก็เป็นล่ามช่วยสื่อสาร เราก็ไปสอบใบประกอบชีพมา ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โชคดีที่งานล่ามมีสามีของพี่ที่เป็นคนไทยที่เขาทำงานอยู่ในนั้นเขาช่วยเหลือ แนะนำให้เรามาทำ”
ไปอยู่เมืองนอกแบบนี้มีสามีใหม่รึป่าว
“มันไม่มีเวลาจะมี เพราะทำงานเต็มร้อย แล้วเวลาที่เหลือน้อยนิดเราก็ให้ลูก มีคนมาจีบค่ะแต่ไม่มีเวลาพัฒนา”
เคยดังมากๆ แต่พอไม่มีงาน หลายคนดูถูกเรารับได้มั้ย
“มันก็คงจะมีคนดูถูกเป็นธรรมดา แต่ไม่มีใครกล้ามาพูดใส่หน้าเรา แต่ก็คงจะมีคนเม้าท์ อย่างเช่นว่าเราออกมาพูดอะไรที่เป็นเรื่องจริง ทำไมต้องไปพูดอะไรให้หน้าสมเพส ฟร้อนท์ไม่ได้คิดมาก แต่ถ้าใครพูดก็กรรมตามสนองเขาเอง เราก็ไม่ได้สนใจ ถ้าเราเอาทุกข์มาใส่ใจเรา เราไม่ใช่คนฉลาดเลยนะคะ”
เลี้ยงลูกยังไงตัวคนเดียว
“ต้องขอบคุณหลายๆ คนที่คอยให้เราฝากลูกกับเขาไว้ ณ ตอนนี้ลูกโตแล้ว บางวันก็ปล่อยลูกอยู่บ้านคนเดียวได้ แต่บางวันเราก็อยู่ด้วย คือ ฟร้อนท์ทำงานเย็นแค่ 4 วันเองค่ะ เรารักรักสุดหัวใจ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอนกอดกัน พอเรากลับมาเมืองไทย พ่อเขาเอาไปกอดแทน แบ่งกันดูแล้ว พ่อก็ดีใจที่เรากลับไปหา”
สอนลูกรู้จักวัฒนธรรมไทยบ้างหรือเปล่า
“ก็สอนไหว้ว่าต้องไหวยังไง ไปเมืองไทยก็ต้องพูดคะขาทุกคำ คือตอนเด็กๆฟร้อนพูดภาษาอังกฤษกับเขา แต่พอช่วง 9 ขวบที่ไปอยู่ต่างประเทศก็จะพูดภาษาไทยกับเขา เราไม่อยากให้เขาลืมภาษาไทย”
อยากให้ลูกเข้าวงการมั้ย
“ก็แล้วแต่เขาค่ะ ถามว่ามีแววมั้ย ตอนนี้เรื่องรูปร่างก็เริ่มมาแล้ว เพราะขายาว (หัวเราะ) แต่ฟร้อนท์บอกเขาว่าสิ่งหนึ่งที่หนูจะต้องทำคือตอบคำถามให้ได้ก่อนให้รู้เรื่องแล้วค่อยทำงานในวงการ ที่ผ่านมาก็มีผู้ใหญ่ที่เรารู้จัก แล้วเขาก็เอ็นดูเรา บอกว่าโตขึ้นแล้วขอนะ แต่ก็ยังไม่ได้อะไรคงรอสัก 2-3 ปี”