ที่มา: dodeden

ผู้สื่อข่าวโดดเด่นดอทคอม รายงานว่า วันนี้ ( 9 มกราคม 2560 ) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในขั้นตอนเดียวที่สามารถฆ่าเชื้อโรค โดยไม่ต้องทำความสะอาดพื้นผิวหรือบริเวณที่ต้องการฆ่าเชื้อโรคก่อนว่า ปัจจุบันมีทั้งชนิดฉีดพ่นธรรมดาหรือฉีดพ่นอัดก๊าซที่ใช้ทั่วไปตามบ้านเรือน เพื่อฆ่าเชื้อโรคตามพื้นฝาผนังเครื่องสุขภัณฑ์และวัสดุอื่นๆ

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ทางสาธารณสุข ชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติ วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องขออนุญาตก่อนการผลิตหรือนำเข้าและส่งทดสอบประสิทธิภาพและปริมาณสารสำคัญ เพื่อนำผลทดสอบไปขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผลิตภัณฑ์จะต้องแสดงฉลากตามที่กฎหมายกำหนดมีปริมาณของสารสำคัญที่ฉลากระบุ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย ได้ศึกษาประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรคเพื่อให้ได้ข้อมูลคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สามารถป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ต่อไป

โดยระหว่างเดือนธันวาคม 2558 –  เดือนกรกฎาคม 2559 ได้สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคชนิดฉีดพ่นธรรมดาหรือฉีดพ่นอัดก๊าซที่ใช้ทั่วไปตามบ้านเรือน ที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 15 ตัวอย่าง

จำแนกเป็นตัวอย่างที่ผลิตในประเทศไทย  11 ตัวอย่าง นำเข้าจากต่างประเทศ 4 ตัวอย่าง นำมาทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรค ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผลการทดสอบ พบว่า มีประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรค เป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดทุกตัวอย่าง  

นายแพทย์สุขุม กล่าวต่ออีกว่า ข้อแนะนำในการเลือกและการใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคชนิดฉีดพ่นที่ใช้ทั่วไปตามบ้านเรือน นั้น สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานตามกฎหมายกำหนดจะต้องมีเลขทะเบียนวัตถุอันตราย แสดงไว้ที่ฉลาก

ผู้บริโภคจึงควรให้ความสำคัญในการอ่านฉลาก วิธีการใช้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ตามที่ผลิตภัณฑ์ ระบุไว้ เช่น ระยะห่างในการฉีดพ่น ระยะเวลาที่ฉีดทิ้งไว้ เป็นต้น นอกจากนี้ควรอ่านข้อแนะนำและข้อควรระวัง เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของสารเคมี

หากถูกผิวหนังหรือเข้าตา อาจทำให้ เกิดอาการระคายเคือง แสบร้อน และถึงขั้นทำให้ตาบอดได้ ถ้าสูดดมไอควัน อาจทำให้เกิดอาการระคายต่อระบบทางเดินหายใจ ปวดศีรษะ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที 

เรื่องน่าสนใจ