กรมสุขภาพจิตชี้ กรณีเด็กแฝดวัย 7 ขวบที่อ.อุทุมพรพิสัย ร้องไห้ไม่อยากไปอยู่กับพ่อ เป็นปฏิกิริยาทางจิตใจโดยทั่วไปของเด็กที่เกิดขึ้นได้เมื่อต้องจากคนใกล้ชิดที่รักและผูกพันและสถานที่คุ้นเคย และอาจรุนแรงหากขาดการเตรียมพร้อมทางจิตใจมาก่อนล่วงหน้า ระบุปรากฎการณ์นี้พบเห็นได้บ่อยช่วงเปิดเทอมของเด็กที่ไปโรงเรียนครั้งแรก แนะทางออกให้ทั้ง 2ฝ่ายทั้งยายและป้า และครอบครัวของพ่อตามกฎหมาย ให้การดูแลใกล้ชิด ให้เด็กคลายกังวล เกิดความอบอุ่นใจ และเชื่อมั่นในความรัก ส่งผลต่อการปรับตัวปรับใจเข้าสภาพแวดล้อมใหม่ดีขึ้นทั้งที่ครอบครัวและโรงเรียน เพิ่มการใส่ใจเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรมของเด็กเป็นพิเศษ
จากกรณีที่มีการแชร์ในโลกออนไลน์วันที่ 23 เม.ย. กรณี 2 ยายป้า ชาวตำบลโคกหล่าม อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ร่ำไห้คิดถึงหลานสาวสาวฝาแฝดที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เนื่องจากมารดาของเด็กเสียชีวิต จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบ ก่อนถูกบิดาแท้ๆ กับญาติ ไปรับตัวไปเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2560 แต่เด็กไม่ยินยอมไปจากยายและป้าที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดและมีความผูกพันกันมาก และเด็กทั้ง 2 ยังไม่คุ้นเคยกับพ่อตนเองมาก่อน
ความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว วันนี้ ( 24 เมษายน 2560 ) นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เป็นปฏิกิริยาทางจิตใจทั่วไปของเด็กที่เกิดขึ้นได้เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลที่รักและผูกพันรวมทั้งสถานที่ที่คุ้นเคยมาก่อน เพื่อไปอยู่กับครอบครัวใหม่ทางฝ่ายพ่อที่มีความปรารถนาจะให้การเลี้ยงดูลูกตามกฎหมาย และอาจรุนแรงหากขาดการเตรียมพร้อมทางจิตใจมาก่อนล่วงหน้า
ซึ่งเรื่องนี้เป็นความละเอียดอ่อนทางจิตใจ คล้ายๆกับกรณีเด็กที่เพิ่งไปโรงเรียนครั้งแรกพบเห็นได้บ่อยในช่วงเปิดเทอม วิธีการทีดีที่สุดก่อนที่จะรับเด็กไปอุปการะดูแล ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งล้วนมีความรัก ความผูกพันกับเด็ก ควรมีการวางแผนร่วมกันก่อนอย่างต่อเนื่องและพูดคุยอธิบายให้เด็กรับรู้ ซึ่งเด็กวัย 7 ขวบนี้มีความสามารถเข้าใจถึงเหตุผลได้แล้ว และค่อยๆสร้างประสบการณ์ให้เด็ก
เช่น ทดลองไปอยู่กับพ่อ หรือพ่อมาอยู่ที่บ้านยายและป้า เพื่อให้เด็กค่อยๆปรับตัว ปรับจิตใจ เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ มั่นใจและปลอดภัย อย่างไรก็ดีในช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงการปรับตัวของเด็ก จึงขอแนะนำดังนี้
1.กรณีครอบครัวของพ่อ หลังรับเด็กมาอยู่ด้วย ขอให้พ่อและบุคคลในครอบครัวให้การดูแลใส่ใจเด็กอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ ถึงแม้จะมีคู่แฝดเป็นเพื่อนใกล้ชิดพูดคุยกันได้ แต่ควรจะมีคนในครอบครัวคนใดคนคนหนึ่งที่เป็นที่พึ่งหลักให้เด็กทั้งสองได้พูดคุยพึ่งพาและเป็นที่พักพิงใจของเด็ก จะช่วยให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้น ควรจัดกิจกรรมร่วมกับเด็กเพื่อสร้างความใกล้ชิดและคุ้นเคยซึ่งกันและกัน เช่นทำกับข้าวดัวยกัน ทำกิจวัตรประจำวันอื่นๆ
และคอยสังเกตอารมณ์จิตใจพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งช่วงแรกเด็กอาจยังมีความกังวล อึดอัด คับข้องใจ เศร้าซึมบ้าง โดยทั่วไปเวลาในการปรับตัวแต่ละคนอาจแตกต่างกันบางคนปรับตัวได้เร็ว บางคนช้า
โดยหากเด็กยังมีอาการคงเดิมหรือเพิ่มขึ้นหลังจากใช้ชีวิตในครอบครัวใหม่เกิน 6 -8 สัปดาห์ ควรปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เพื่อช่วยแนะนำการดูแลต่อไป
2.กรณีครอบครัวของยายและป้า ซึ่งจะเกิดความรู้สึกคิดถึงหลานเป็นธรรมดา การติดต่อสื่อสารโดยการโทรศัพท์พูดคุยกับหลาน นอกจากจะทำให้จิตใจทั้งเด็กและยายดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการรักษาสายสัมพันธ์ไว้อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นวิถีทางที่จะช่วยให้เด็กปรับตัว ปรับใจได้เร็วขึ้น หรือการเดินทางไปเยียมเยียนซึ่งกันและกันเป็นครั้งคราว หากมีโอกาสก็พึงกระทำ
3.ในส่วนของประชาชน สังคมรอบนอก ที่รับรู้และเห็นภาพเหตุการณ์ อย่าด่วนตัดสินเพียงภาพที่เห็น โดยเจตนารมณ์เป็นเรื่องของความรักความปรารถนาดีที่จะให้การดูแลเด็กทั้ง 2 คนอย่างดีที่สุด จึงขอให้สังคมอย่าโทษใครว่าเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายถูก แต่ขอให้ร่วมกันให้กำลังใจและชี้แนะวิธีปฏิบัติแก่ทั้ง 2 ฝ่าย โดยมุ่งประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก เป็นสำคัญ