ถ้านับปี ค.ศ.2007 ที่กระเป๋าสะพายผู้หญิงแบรนด์ไทย อริสโตเติ้ล โรส แบ็ค เริ่มเป็นที่รู้จัก จนถึงปีนี้ ปี ค.ศ.2015 ปีที่ 8 กระเป๋าแบรนด์นี้ ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก วัดกระแสได้จากของก๊อบปี้ มีขายทั่วไปตั้งแต่เหนือจดใต้ แม่สายไปถึงเบตง
“ตอนแรก ที่เห็นของก๊อป ก็นอยด์มาก” “เติ้ล” เพศชาย ชื่อจริง ภณ รักสกุลนิตย์ อายุ 31 ปี หนึ่งในสองเจ้าของแบรนด์ไทยดัง บอก “แต่พอเจอเยอะเข้า ก็ทำใจ เราอยู่เมืองไทย หนีไม่พ้นเรื่องก๊อปไปได้” เจ้าของแบรนด์ดังคนที่สอง เพศชายเช่นเดียวกัน ชื่อเล่นโตโต้ ชื่อจริง อัฏฐนันท์ หงษ์มณี อายุ 31 ปีเท่ากัน ตอนโตโต้ เรียนคอมมินิเคชั่นอาร์ต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภาคอินเตอร์ กล้วยน้ำไท ปี 1 ส่วนเติ้ล เรียนคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เติ้ลเริ่มต้นทำงาน ในแวดวงแฟชั่น พี่คนหนึ่งชวนไปงานเปิดคลื่นวิทยุ Get ที่ตึกออลซีซั่น หน้าที่งานเรียกกันว่าแบ็กสเตจ เรียนจบปี 2548 ทำงานต่อสองปี ก็ได้งานประจำที่บริษัทฟีเวอร์ ตำแหน่งโปรดิวเซอร์
ทำได้ปีกว่า ก็ย้ายไปบริษัทโคเซ็ท
เจอโตโต้ตอนนี้ โตโต้ไปขอฝึกงาน ทางแอคเซสเซอรี (เครื่องประดับ) ที่บริษัทโคเซ็ท ตอนนั้นโคเซ็ททำแต่เสื้อผ้า งานเครื่องประดับมีไว้เสริมเวลาเดินแฟชั่นโชว์ โตโต้เริ่มรับผิดชอบงานนี้จนช่วยดีไซน์ 2 ปี จริงจังอยู่กับงานนี้ จนเลิกเรียน
โคเซ็ทเริ่มขายแอคเซสเซอรีจริงจัง ก็เปิดแผนกทำแอคเซสเซอรี มีกระเป๋า รองเท้า ต่างหู พี่แก้ม มลลิกา เรืองกฤตยา เจ้าของโคเซ็ท ให้โตโต้รับผิดชอบแผนกนี้ โตโต้ก็ได้เป็นดีไซเนอร์เต็มตัว
ก่อนหน้านั้น พี่แก้มให้โตโต้ทำแอคเซสเซอรี เช่น สร้อย ต่างหู มาขายในร้าน ช่วงงานแบงค็อก แฟชั่นวีค พี่แก้มก็เอาแอคเซสเซอรีของโตโต้ไปขาย ได้ออเดอร์กลับมาเยอะ
แต่ตอนนั้นยังทำไม่ได้จริงจัง ยังมีงานหลักที่ต้องรับผิดชอบ
ทำงานบริษัทเดียวกัน คุ้นเคยจนรู้ฝีมือรู้ใจกัน โตโต้เป็นฝ่ายออกปากชวนเติ้ลมาทำด้วยกัน เพิ่งไปเรียนคอร์สสั้นๆ ผู้ประกอบกิจการใหม่ ของกระทรวงอุตสาหกรรม พอเรียนก็มีไฟอยากลองทำอะไรขายหารายได้พิเศษ
ชิ้นแรกเป็นเข็มขัดหนังรูปโบใหญ่ๆ ทำ 20 เส้น เอาไปให้พี่แก้มดู
พี่แก้มชอบ ให้ฝากขายหน้าร้าน ขายสองสามเดือนของหมด ก็ทำขึ้นมาใหม่ จากเข็มขัดก็เริ่มทำเป็นสร้อยและข้อมือ พี่แก้มบอกว่า ถ้าวางขายควรติดชื่อแบรนด์ ลูกค้าจะได้รู้ว่าเป็นแบรนด์ๆ หนึ่งที่ขายอยู่ในร้านโคเซ็ท
โตโต้และเติ้ลก็ช่วยกันคิด เอาชื่อของสองคนรวมกัน ตั้งชื่อแบรนด์ “อริสโตเติ้ล” ถึงตอนนั้น ถือว่าเป็นธุรกิจของตัวเองแล้ว
ขายได้มากขึ้น ก็อยากทำร้าน บังเอิญมีพี่ๆ เพื่อนๆ ชวนทำร้านที่จตุจักร ขายเสื้อยืด โตโต้กับเติ้ลก็ไปร่วมลงทุนด้วย ได้กำไรมาพอสมควร
อยากลองเปิดร้านที่สยาม ตั้งใจทำเสื้อผ้าผู้หญิงสำหรับคนอ้วน แต่ต้องลงทุนเยอะ ก็แยกย้ายไปขอเงินพ่อแม่ และเอากำไรที่ได้จากสวน จตุจักรมาลง แต่เรื่องไม่เป็นอย่างที่คิด มีห้างเปิดใหม่ คนไม่มาเดินที่สยามสแควร์เหมือนแต่ก่อน
ไหนจะค่าแป๊ะเจี๊ยะ ค่าเช่าก็ต้องจ่ายทุกเดือน เดือนๆค่าใช้จ่ายสูงมาก ยอดขายไม่ถึง เริ่มเป็นงูกินหาง ไม่ถึงปีก็ตัดสินใจปิด “เราเริ่มมีหนี้สิน” เรื่องนี้เติ้ลเป็นคนบอก “ดีหน่อยที่่หนี้สินเป็นของแม่โตโต้ ตอนนั้นเราอายุ 24 ปี มีหนี้ 5 แสน ก็รู้สึกเครียด แต่หนี้สินก็เป็นแรงผลักดันให้เรากลับมาคิดตั้งต้นใหม่” กลับมาทำสร้อยฝากขายร้านเพื่อน ทำให้พอมีเงิน ก็ทยอยใช้หนี้แม่โตโต้ไปเรื่อยๆ ปี 2007 เป็นปีของการเริ่มต้นกระเป๋า อริสโตเติ้ล โรส แบ็ค ที่ฮิตติดลมมาจนถึงวันนี้
เติ้ล-โตโต้ มีไอเดียจะทำกระเป๋าไซส์เล็ก ทรงแปลก โตโต้ลองวาดอาร์ตเวิร์กขึ้นมาเป็นรูปดอกกุหลาบ ใช้เทคนิคดันนูนแล้วกดเป็นรอย วัสดุเป็นหนังแท้ ส่วนงานชุบใช้เกรดเดียวกับโคเซ็ท ช่างเย็บมือทั้งหมด เสร็จแล้วก็เอามาถามคนรอบข้าง “ชอบไหม” หลายคนตอบว่า “ชอบ”
ลูกค้าของเราเป็นผู้หญิง มีหลายบุคลิก อยากทำออกมาให้คลาสสิก ไม่หวานเลี่ยนเกินไปและใช้ได้นาน ลงท้ายเอาไปเสนอพี่แก้ม พี่แก้มให้ขายที่โคเซ็ท
“ต้องขอบคุณโคเซ็ทที่เป็นส่วนหนึ่งที่เราประสบความสำเร็จทุกวันนี้” เติ้ลว่า
ปี 2010 กระเป๋าแบรนด์อริสโตเติ้ล ขายได้และขายดี ใช้หนี้สินเดิมๆ จนหมด ตอนนั้นเติ้ลเปรยๆว่าจะเลิกทำแล้ว เราขายกระเป๋ารุ่นนี้มานานคนอาจเบื่อ แต่โตโต้บอกว่า หน้าร้านยังมีลูกค้ามาถามถึงกระเป๋าอยู่ เมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็เลยไปเดินหาซื้อหนังจากที่ใหม่ๆ เจอสีน่ารักๆ มากขึ้น แต่เกิดสิ่งไม่คาดฝัน หนังที่ซื้อมาครั้งหลัง ทำกระเป๋าได้ถึง 80 ใบ เดิมทีได้แค่ 20 ใบ จำนวนนี้ทำให้เริ่มเครียด ถ้าขายไม่หมดจะทำยังไง โตโต้-เติ้ล ใช้วิชาจัดมาร์เก็ตติ้ง ช่วงสิ้นปี 2010 มีเฟซบุ๊กเข้ามา เราก็ทำแฟนเพจในเฟซบุ๊ก แนะนำตัวตามเว็บไซต์ต่างๆ ไปรีวิวสินค้าให้คนเห็น ตามสถานที่ที่แบรนด์ไทยเริ่มมีคนสนใจมากขึ้น
“เราโชคดีมาถูกช่วงเวลา คนเริ่มเสพแบรนด์ไทย และถูกเวลาที่เฟซบุ๊กกำลังมา คนเริ่มเล่นกัน สามารถโปรโมตทางออนไลน์ได้เลย” เติ้ลว่า
เติ้ลเริ่มรู้จักกับพี่ๆสไตลิสต์ที่มายืมของ ก็ฝากกระเป๋าไปให้ดาราใช้ถ่ายรูปโปรโมต เราก็เอาภาพมาลงเฟซบุ๊ก จากนั้นคนก็เริ่มปากต่อปาก ก็เริ่มทำการตลาดในเฟซบุ๊ก ให้ลูกค้าที่ซื้อกระเป๋าถ่ายรูปส่งกลับมา เราก็เอารูปลงในเพจให้ลูกค้าได้ดู นอกจากดาราใช้แล้ว คนธรรมดาใช้ก็ไม่ต่างกัน ลูกค้ามากขึ้น จากที่ขาย 80 ใบหมดในสี่ห้าเดือน ก็เริ่มหมดเร็วขึ้น โตโต้-เติ้ล ก็ผลิตจนกระทั่งผ่านไปปีกว่า เริ่มเกิดกระแสฟีเวอร์ จากที่ขาย 2 เดือนหมด ก็เป็นเดือนเดียวหมด อาทิตย์เดียวหมด 5 วันหมด 3 วันหมด
จนกระทั่งมาถึงจุดที่ลงปุ๊บ 20 นาทีก็หมด
สินค้าที่เคยเหนื่อยกับการขาย เป็นปัญหาด้านหนึ่ง แต่พอขายดี ก็เกิดปัญหาอีกด้าน เติ้ลเล่าว่า คนมารอคิวไม่พอใจ มาแล้วทำไมไม่ได้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการขายใหม่ โดยการให้ส่งอีเมลมาสั่ง ถ้ามี 100 ใบ ลูกค้าอีเมลมา 100 เมลแรก ถ้าได้เมลตอบกลับถือว่าได้ ลูกค้าจะได้ไม่เสียเวลาออกจากบ้าน แต่ปัญหาก็ยังมีตามมา ยิ่งนานวันเข้า กลุ่มลูกค้าก็มีมากขึ้น เราไม่สามารถผลิตของได้ตรงกับความต้องการ งานผลิตเป็นงานทำมือ ทำค่อนข้างยาก
นอกจากทำกระเป๋าแบรนด์ไทยคุณภาพดี โตโต้–เติ้ลยังมีบริการหลังการขาย
“กระเป๋าเรามีใบรับประกันอายุ 1 ปี ถ้าโซ่ลอก ซิปเสีย ใบไม้ลอก หรือกระเป๋ามีปัญหาอะไร ส่งกลับมาให้เราดูแล เราไม่คิดค่าใช้จ่าย” โตโต้เริ่ม “ถ้าลูกค้าซื้อของออนไลน์ไป 7 วัน คิดดูแล้วไม่ชอบ ไม่ต้องมีเหตุผลเลยว่าทำไมไม่ชอบ ส่งกลับมาขอคืนเงินได้เลย เราไม่ถามเหตุผล ยินดีคืนเงินให้ร้อยเปอร์เซ็นต์” เติ้ลสนับสนุน โตโต้บอกว่า การขายของทุกวันนี้ ต้องจริงใจกับลูกค้า ของออนไลน์เห็นแต่รูป ไม่ได้เห็นของจริง โอกาสที่ของถึงมือลูกค้า ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด เขาก็มีสิทธิ์คืน ตรงนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ารักในตัวแบรนด์เรา มั่นใจในตัวสินค้า มั่นใจในคุณภาพ
กระเป๋าอริสโตเติ้ล โรส แบ็ค ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ตอนนี้โตโต้-เติ้ลกำลังมองหาลู่ทางตลาดต่างประเทศ ความหวังของโตโต้–เติ้ล ไม่ไกลเกินไป วัดผลได้จากตลาดในประเทศ วันนี้กระเป๋าแบรนด์อริสโตเติ้ลฮิตฮอต ถึงขนาดลูกค้าต้องจ้างคนเข้าคิว ต้องเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อส่งเมล เรียกว่าพลาดไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที