กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด (Blood Type Diet) กินได้แบบไม่อ้วน? ผอมได้แบบไม่หิว? หลายคนที่คิดว่าชีวิตนี้ คงไม่มีสิทธิ์ผอม อย่าเพิ่งหมดกําลังใจ เพราะคนที่อ้วนและมีน้ำหนักเกินส่วนใหญ่ เกิดจากการกินอาหารทุกอย่างตามใจปาก และกินเป็นจํานวนมาก ยิ่งพอเจอของที่โปรดปราน แล้วเกิดอาการขาดสติ หรือบางคนหันไปพึ่งพายาลดน้ำหนัก เพื่อหวังผลที่จะผอมได้รวดเร็วทันใจ แต่พอหยุดยา ก็เกิด YOYO EFFECT กินหนักกว่าเก่าเข้าไปอีก คราวนี้ล่ะ นอกจากจะไม่ผอม เสียเงินฟรี แถมอาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาตามมาอีกมากมาย
น้ำหนักของเราจะขึ้นหรือลง ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับปริมาณของสิ่งที่รับเข้าไป กับส่วนที่ปล่อยออกมา จะมีความสมดุลกันหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจําวันของแต่ละคน โดยอาหาร จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ จะเป็นการออกกําลังกาย 20-30 เปอร์เซ็นต์ และปัจจัยอื่นๆ เช่นพันธุกรรม อย่างบางคนผอม กินยังไงก็ไม่อ้วน หรือบางคนกินก็ไม่ได้มาก แต่ก็อ้วนจนน่าแปลกใจ
ปัญหาที่มักพบจากการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ คือน้ำหนักลดลงแล้วก็ขึ้นอีก เพราะคนส่วนใหญ่พยายามที่จะใช้เงินแก้ปัญหา เมื่อได้น้ำหนักตามที่ต้องการแล้ว ก็คิดว่าสิ่งนั้นจะต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ฉันเสียเงินไปแล้วห้าแสน มันต้องอยู่กับฉันได้นานถึง 10 ปีสิ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะแม้จะเอาของเก่าออกไปแล้ว แต่เอาของใหม่ใส่เข้าไปใหม่ ยังไงก็ต้องกลับมาอ้วนเหมือนเดิม
หลักการของโปรแกรม Blood Type Diet เป็นหลักการในการส่งเสริมการกินอย่างถูกต้อง ด้วยหลักง่ายๆ คือการกิน อาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเมนูอาหาร จะเลือกสรรตามกรุ๊ปเลือด เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง สําหรับเรื่องของกรุ๊ปเลือด มีผลวิจัยมาแล้วว่า ในคนแต่กรุ๊ปเลือด จะมีเอนไซม์ในการย่อยสลายที่ต่างกัน ในการจัดเมนูอาหาร จึงต้องคํานึงว่ากรุ๊ปไหนเหมาะกับอะไร เช่น กรุ๊ปไหนควรทานผักผลไม้เป็นหลัก กรุ๊ปไหนไม่ควรทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินความจําเป็น กรุ๊ปไหนที่มีกรดย่อยอาหารได้ดี ก็จะเป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถทานเนื้อสัตว์ได้อย่างสบายใจ เหล่านี้เป็นต้น
การจัดอาหารโดยคํานึงถึงสุขภาพของผู้ที่เข้าคอร์ส ให้ปริมาณแคลอรี่ของอาหารตามน้ำหนักตัว เช่น คนที่ตัวใหญ่มาก เคยทานข้าวเยอะมาก ถ้าวันแรกจัดอาหารโดยให้ข้าวน้อยไปเลย เขาก็จะรู้สึกหิวมาก ซึ่งไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทําให้เขาหันไปกินอาหารนอกโปรแกรมได้
อาหารแต่ละมื้อ ควรเป็นอาหารสด (Raw Foods) ที่มีคุณค่าสารอาหารสูง อาจจะเน้นผักสด ผลไม้สด การปรุงอาหารด้วยวิธี Slow Cook คือได้ทั้งสุขภาพ และความอร่อย (ไม่ใช่อาหารแช่เข็งที่ผ่านกระบวนมาก จนไม่เหลือคุณค่าทางอาหาร) พิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบ วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารต้องดี และมีประโยชน์ รวมถึงต้องทราบถึงแหล่งที่มาของส่วนประกอบที่นํามาใช้ประกอบอาหาร (Food Chain) เพื่อความมั่นใจในคุณภาพของวัตถุดิบที่เลือกใช้ และหลีกเลี่ยงการแพ้อาหารโดยไม่ทราบสาเหตุ อาทิ
มื้อแรก อาจจะเริ่มด้วยอาหารที่เบาๆ เพราะตื่นขึ้นมา ลําไส้อาจจะยังทํางานได้ไม่ดีนัก แล้วค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ อาจจะแบ่งเป็นมื้อเช้า สาย บ่าย เย็น และค่ำๆ โดยมื้อกลางวัน จะเป็นอาหารที่หนักที่สุด เพราะเราใช้พลังงานมากในช่วงนี้ แม้ว่าปริมาณอาหารในแต่ละมื้อจะไม่มาก เหมือนอาหารปกติที่ทานกันอยู่ (จัดให้ประมาณครึ่งหนึ่งของอาหารปกติ) ก็จะไม่รู้สึกหิวด้วย ควรกินอาหารตามเวลาที่กําหนดไว้ และต้องไม่ไปกินอาหารนอกโปรแกรมที่จัดไว้ เพราะจะทําให้การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ไม่ได้ผล ต้องมีความพยามอยู่ในระดับหนึ่ง
การจัดอาหารให้เป็นเวลา 7 วันสําหรับ 1 คอร์ส เป็นตัวเลขที่กําลังดี หลังจากเข้าคอร์สแล้วจะพบว่า การทานอาหารจะอิ่มได้เร็วขึ้น กินได้น้อยลงไปเอง (หากครบ 7 วันแล้วต้องการต่อคอร์สก็สามารถทําได้)
ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมนี้
เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ไม่ทําให้หิวหรือทรมาน น้ำหนักที่ลดลงแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะลงประมาณ 2 กก. และสามารถลงได้ถึง 4-6 กก. ในบางราย อาหารเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ และยังเลือกอาหารที่ช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย จึงทําให้ได้ผลลัพท์ที่ดี แม้จะไม่ค่อยได้ออกกําลังกาย เป็นการควบคุมน้ำหนักที่ไม่ทําให้เกิดความเครียด (คนที่หิวมากจะเครียด) กระเพาะจะค่อยๆ ถูกปรับให้เล็กลง เพราะมีการฝึกที่จะกินน้อยลง ทําให้อิ่มเร็วขึ้น เป็นการสร้างสุขลักษณะนิสัยในการกินที่ดี เพื่อทําให้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น เช่น เลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ รู้จักจํากัดปริมาณแคลอรี่ที่จะทานในแต่ละวัน ให้ความสําคัญกับอาหารมื้อเช้า และทานน้อยในมื้อเย็น เป็นต้น ทําให้ระบบบการไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น เพราะทานอาหารที่มีไฟเบอร์ และทานผักผลไม้มากขึ้น
…………………………………………………………………………………………………
แต่โปรแกรมนี้ อาจจะเป็นปัญหาบ้าง ในคนที่ไม่กินผักและผลไม้ ซึ่งอาจจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรืออาจมีปัญหาในคนที่มีอาชีพที่ไม่ได้ทํางานอยู่กับที่ เช่น นักแสดงที่ต้องเดินทางออกกอง หรือในคนที่มีโรคประจําตัวที่ต้องควบคุม อาหาร เช่น โรคตับ ไต เบาหวาน โรคมะเร็ง เป็นต้น แต่สําหรับคนปกติโดยทั่วไป ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม สามารถทําได้ เพราะอาหารที่ให้มีรสชาติอร่อย ไม่ใช่อาหารที่ทานยากๆ
เนื้อหาโดย Dodeden.com