กุ๊ก กุ๊ก กู๋!!! ขอต้อนรับวันฮาโลวีน 31 ตุลาคม ด้วยเรื่องเล่าชวนสยองขวัญที่ Life on Campus สรรหาเอามาฝากกัน ทุกคนคงทราบกันดีว่าเรื่องผีๆ หลอนๆ ชวนสยองขวัญในรั้วมหา’ลัยไทยนั้นน่ากลัวที่สุด ยิ่งน้องปีหนึ่งที่เข้ามาเรียนโดยไม่รู้อิโหนอิเหน่ และยังได้ยินเรื่องเล่าชวนน่าสะพรึงจากรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยแล้วด้วย ก็คงพากันขนหัวลุกไปตามๆ กัน และยิ่งมหาวิทยาลัยไหนมีตำนานเล่าเรื่องอันเก่าแก่ หรือเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ไว้แล้วด้วย คงไม่วายหลอนกันไป 4 ปีแน่ๆ แต่มหาวิทยาลัยไหนจะน่ากลัว น่าขนลุก น่าสยองขวัญกว่ากัน คงต้องตามมาดู..
เปิดบันทึกหลอน : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เรื่องนี้ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องชวนหลอนของนิสิตจุฬาฯ มาจนถึงทุกวันนี้ เหตุเกิดที่ทางเดินระหว่างตึกของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางเดินที่ว่านี้มีประวัติอยู่ว่าสมัยก่อนมีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งของคณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ทะเลาะกัน ฝ่ายภรรยาควักปืนยิงสามีจนเสียชีวิต และมีเลือดสาดไปทั่วทั้งทางเดิน ต่อมาทางคณะมีการปรับปรุงพื้นบริเวณนี้ แต่แปลกที่เฉพาะทางเดินนี้เท่านั้นที่ปูนไม่ยอมแห้งสักที ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่างที่เห็นกันในทุกวันนี้
ส่วนที่ห้องซ้อมดนตรีไทย คณะครุศาสตร์ ก็ชวนหลอนไม่แพ้กัน เวลาที่มีคนแอบเข้าไปนอนหลับในห้องซ้อมดนตรีไทย จะรู้สึกเหมือนมีใครมาดึงขา ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินไปเดินมา และได้กลิ่นธูป เมื่อถามรุ่นพี่ว่าเป็นอะไร คำตอบคือ เป็นฝีมือของเจ้าที่ที่ไม่ชอบให้ใครเข้ามานอนในห้องที่ใช้ซ้อมดนตรี ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ กับนักศึกษาปี 1 ด้วยนะ
ต่อมาเป็นตำนาน “อิฐ 9 ก้อน” ที่หน้าตึกเศรษฐศาสตร์ จะมีอิฐอยู่ก้อนหนึ่งที่เกยขึ้นมาไม่ตรงร่องต่างจากก้อนอื่นๆ และถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดอิฐก้อนนั้นก็ยังเกยกันอยู่ จึงมีการเตือนต่อๆ กันมาของนิสิตจุฬาฯ ว่า “ห้ามไปเดินเหยียบอิฐก้อนนั้น” ไม่งั้นเช้ามาที่ขาจะมีร่องลอยฟกช้ำดำเขียวเกิดขึ้นเป็นจ้ำๆ ส่วนประวัติของอิฐ 9 ก้อนเกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว มีนิสิตคณะบัญชีปี 4 ทะเลาะกับแฟน จนฝ่ายหญิงขอเลิก ทำให้ฝ่ายชายเสียใจมากจึงตัดสินใจกระโดดตึกลงไปต่อหน้าต่อตาผู้หญิง ซึ่งจุดที่ผู้ชายตกลงไปคือจุดเดียวกับที่อิฐเกยขึ้นมา นี่จึงเป็นตำนานหลอนที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าลบหลู่
เปิดบันทึกหลอน : ม.เกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเฮี้ยน ความหลอน เพราะได้มีเรื่องเล่าขานต่างๆ นานา มาหลายยุคหลายสมัยแล้ว แต่เรื่องที่ถือว่าโด่งดังและเป็นตำนานที่รุ่นพี่ต้องเล่าให้รุ่นน้องฟังอยู่บ่อยๆ คือ เรื่องเล่าจาก “ตึก SCL” ตึกนี้เป็นแล็บเคมีและถือว่าเป็นตึกที่มีเรื่องเล่าเยอะที่สุดของมหาวิทยาลัยนี้เลยล่ะ เพราะตึกแห่งนี้เคยมีคนงานตกลงมาตาย และมีเรื่องเล่ามาว่าหากใครไปยืนหน้าตึกแล้วมองลอดใต้หว่างขาขึ้นไป จะเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่ดาดฟ้าตึก บางคนไปอ่านหนังสือใต้ตึกตอนกลางคืน ก็จะเห็นคนเลือดท่วมเดินผ่านไปมา บ้างก็ว่าได้ยินเสียงสวดชินบัญชรทำเอาขนลุกไปตามๆ กัน
อีกที่เกิดเหตุที่น่ากลัวพอๆ กันเลยคือ “Loving Way” ฟังจากชื่อแล้วต้องคิดว่าถนนแห่งความโรแมนติกแน่ๆ แต่นี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องหลอนที่มีความโรแมนติกปนอยู่ด้วย เพราะถนนเส้นนี้จะเป็นถนนที่เด็กม.เกษตรฯ ทุกคนจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และมีความเชื่อว่าในตอนกลางวันถ้าหนุ่มสาวมาปั่นจักรยานซ้อนกัน จะทำให้สมหวังในความรัก หรือได้เป็นแฟนกันนั่นเอง แต่ถ้ามาปั่นในตอนกลางคืนล่ะจะเป็นอย่างไร และถ้าหากคนปั่นกับคนซ้อนนั่งหันหลังชนกันแล้วด้วย เขาว่ากันว่าจะเห็นอะไรบางอย่างระหว่างที่ปั่นอยู่ในถนนสายนั้น
เปิดบันทึกหลอน : ม.ศิลปากร
เชื่อกันว่ามหาวิทยาลัยใดที่มีที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเขตวังเก่า หรือเคยเป็นวังมาก่อน ก็จะมีเรื่องราวกล่าวขานมานาน และยิ่งทวีความหลอนเข้าไปอีก เพราะแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนั้น รวมถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร เขตพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่เดิมของอาณาบริเวณเขตพระราชฐานพระราชวังสนามจันทร์ เป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และยังเป็นอีกสถานที่ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าผีดุเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
เด็กศิลปากรเองคงรู้ความเป็นมาของเรื่องเล่านี้ดี เพราะไม่ว่ารุ่นไหนก็ไม่พลาดที่จะเล่าสู่ให้รุ่นน้องฟังแน่ๆ สำหรับเรื่องเล่า “ลานทรงพล” คณะอักษรศาสตร์ ถึงแม้ทุกวันนี้จะเป็นสถานที่ที่ดูร่มรื่นสวยงาม และเงียบสงบ แต่หากได้ฟังถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้แล้วคงต้องผวากันแน่ๆ เพราะที่ตรงนี้เคยเป็นลานประหารนักโทษเก่า โดยสมัยก่อนจะใช้ดาบในการฟันคอนักโทษ ก็จะนำนักโทษที่ถึงเวลาประหารมาที่ลานบริเวณแห่งนี้ จากนั้นก็จะจัดการนักโทษด้วยการฟันที่คอ จนแน่นิ่งหมดลมหายใจ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลานทรงพลเป็นลานที่มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมา บ้างก็ว่ามีเด็กนักศึกษาเดินผ่านตอนกลางคืนแล้วเห็นเป็นเงาคนตัวสูงใหญ่กำลังฟันคอคนที่นั่งอยู่กับพื้นจนขาดกระเด็น บางคนก็เห็นผู้หญิงนุ่งห่มสไบมายืนบริเวณลานทรงพล
อีกหนึ่งสถานที่สุดเฮี้ยนของมหาวิทยาลัยศิลปากร เขตพระราชวังสนามจันทร์ นั้นคือสะพาน “สระแก้ว” สถานที่ตรงนี้ถือเป็นจุดที่มีความสวยงามและชวนหลอนไปพร้อมๆ กัน เพราะในสมัยก่อนสระน้ำตรงนี้จะเป็นจุดที่นำนักโทษมาทรมานโดยการถ่วงน้ำเพื่อให้สารภาพผิด หรือเป็นการฆ่านักโทษด้วยการถ่วงลูกตุ้มให้ขาดอากาศหายใจตายนั้นเอง แต่ที่น่าแปลกใจคือสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเหตุการณ์น่าสลดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาอยู่ๆ ก็กระโดดลงไปแล้วจมหายไปในวันเกิดตัวเอง บ้างก็มีคนทะเลาะวิวาทจนเกิดการต่อสู้แทงกันตายในที่สุด และยังมีเรื่องเล่าน่าขนหัวลุกคือมีนักศึกษาเห็นขบวนแห่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าเป็นขบวนแห่ประจำปีทั่วไป แต่ก็ต้องตื่นตกใจเพราะขบวนดังกล่าวดันเดินลงน้ำไปดื้อๆ ถือเป็นอีกเรื่องเล่าที่ฟังแล้วใจเต้นไม่เป็นจังหวะกันเลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้นมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งนี้ยังมีเรื่องเล่าถึง “เรือนนางสนม” ซึ่งอยู่ด้านหลังคณะวิทยาศาสตร์ เรือนไม้เก่าหลังนี้มีอายุเก่าแก่มาก น่าจะมีความเก่าแก่ในช่วงสมัย ร.5 และมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า กลางดึกหากนักศึกษาคนไหนปั่นจักรยานผ่านเรือนไม้ดังกล่าวก็จะเห็นคนรำอยู่ในเรือนผ่านช่องหน้าต่างไม้ บ้างก็เห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยมีเล็บยาวปรากฏตัวให้เห็น จนทำให้เรือนนางสนมต้องปิดหน้าต่างไปในที่สุด เพราะมักจะมีนักศึกษาเห็นผู้หญิงรำฟ้อนอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังนั้นนั่นเอง
เปิดบันทึกหลอน : ม.รังสิต
ต้องยกให้เลยกับมหาวิทยาลัยที่เรียกได้ว่ามีผีเยอะที่สุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเลยก็ว่าได้ เพราะจากข้อมูลมีผู้ที่มีสัมผัสพิเศษได้เล่าให้ฟังว่า บริเวณเมืองเอก ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยรังสิต มีลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ คือตามหลักฮวงจุ้ยแล้วจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไร้คนดูแล อย่างบ้านร้าง 9 หลัง และบ้านร้างบันไดแดงที่เป็นสถานที่สำหรับคนอยากลองของ ซึ่งสถานที่ใดที่มีบ้านร้างไร้คนอยู่อาศัยจะเป็นที่ๆ ภูตผี วิญญาณไร้ญาติ จะเร่ร่อนมาอยู่อาศัย จึงทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเรื่องเล่าพาให้ระทึกขวัญอยู่สม่ำเสมอ
เรื่องเล่า “ลิฟต์ตึก 3” ยังคงเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ยังคงความหลอนให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่เสื่อมคลาย เพราะว่าตึก3นี้ถือเป็นตึกที่มีความเก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ2ของมหาวิทยาลัย ซึ่งในตอนกลางวันลิฟต์ที่ตึกจะใช้งานได้ตามปกติธรรมดา แต่พอตกกลางคืนเท่านั้นแหละ ลิฟต์เจ้ากรรมจะเปิดเองตลอด หากใครขึ้นลงและกดปุ่มชั้น มันจะไม่ค่อยเปิดปิดตามชั้นที่กด และยิ่งไปกว่านั้นในชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นของนิติศาสตร์ เคยมีคนเห็นผู้หญิงชุดขาวในกระจกข้างลิฟต์เป็นประจำ ทั้งๆ ที่ข้างลิฟต์ชั้นนั้นไม่มีกระจก บ้างก็ว่าเคยได้ยินเสียงเท้าคนเดินทั้งๆ ที่ไม่มีใครเลยสักคน
เรื่องผีในห้องน้ำนี้ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ ถือเป็นสถานที่สุดเฮี้ยนที่คนเจอกันบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ “ห้องน้ำหญิงตึก 5 คณะวิศวกรรมศาสตร์” เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เมื่อนักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ถูกแฟนหนุ่มลากออกมาจากห้องสอบ สาเหตุคงเป็นเพราะทะเลาะกันเรื่องหึงหวง ฝ่ายชายลากฝ่ายหญิงเข้าไปคุยกันในห้องน้ำ ก็มีเสียงทะเลาะโวยวายดังออกมาเป็นระยะๆ หลังจากนั้นก็เกิดเสียงปืนดังออกมาจากห้องน้ำดังกล่าว เมื่อเข้าไปดูจึงพบว่าฝ่ายหญิงนอนนิ่งเสียชีวิต และฝ่ายชายก็ยิงตัวเองตายตาม ถึงแม้เหตุการณ์น่าสลดนี้จะจบไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องชวนหลอนให้ได้ยินกันอยู่ตลอด บ้างก็ว่าได้ยินเสียงคนทะเลาะกันตามด้วยเสียงปืนในเวลาเดิมๆ แทบทุกวัน จากความเชื่อว่าคนที่ฆ่าตัวตายวิญญาณจะไม่ไปไหน และจะฆ่าตัวเองตายอยู่ซ้ำๆ ในสถานที่เดิมๆ เวลาเดิมๆ และยิ่งไปกว่านั้นห้องน้ำห้องที่ว่าตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดิบพอดี เห็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้หลอนได้ยังไงกัน
เปิดบันทึกหลอน : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
เมื่อลองดูประวัติคร่าวๆ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาแล้ว เรื่องความเฮี้ยนต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะก่อนจะก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยนั้น เดิมเคยเป็นวังเก่าของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกของรัชกาลที่ 5 เด็กนักศึกษาที่นี่ส่วนมากจึงเรียกตัวเองว่า “ลูกพระนาง” และด้วยความเป็นสถานที่เก่าแก่ มีระยะเวลาเนิ่นนาน จึงไม่น่าแปลก ถ้าจะมีเรื่องราวชวนให้นึกคิดเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นอยู่เสมอ
อีกหนึ่งเรื่องที่ฟังทีไรต้องขนลุกทุกที คือ “ใต้ดินตึกศิลปกรรม” ว่ากันว่าที่ชั้น G ตึกศิลปกรรม หรือชั้นใต้ดินนั้น ในสมัยยังเป็นวังที่ตรงนี้คือคุกเก่าไว้ขังนักโทษ และในตอนกลางคืนยามที่นี้ก็จะได้ยินเสียงโซ่ลากตลอดเวลา เสียงนั้นน่าจะเป็นเสียงโซ่ตรวนที่ใช้ล่ามขานักโทษ รวมถึงมีนักศึกษาคนหนึ่งเคยทำงานอยู่ใต้ดึกในเวลากลางคืน โดยนักศึกษาคนนั้นเขียนงานไปดูดบุหรี่ไปด้วย จนเห็นพระนางสุนันทามาเตือนให้เลิกดูดบุหรี่ และทุกวันนี้ก็ไม่มียามมาเฝ้าชั้นใต้ดินตอนดึกๆ อีกเลย
เรื่องราวชวนสยองของตึกศิลปกรรมยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะบริเวณชั้น 4 ตึกศิลปกรรม ซึ่งเป็นชั้นของศิลปะการแสดง ประกอบไปด้วยนาฎศิลป์ไทยกับการละครไทย และ “ครูฮอน” คือศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรียนเอกนาฎศิลป์ ด้วยความรักและผูกพัน ครูฮอนจึงกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาอีกครั้ง และได้เสียชีวิตไปด้วยโรคปอดติดเชื้อ จึงมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เมื่อราวๆ 4 ทุ่ม มียามสองคนได้ขึ้นลิฟต์มาชั้น 4 เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยและไล่เด็กนักศึกษากลับบ้าน เมื่อมาถึงชั้น 4 ลิฟต์ก็เปิดออก ยามทั้งสองคนก็เห็นเงาคนลางๆยืนอยู่ที่สุดฝั่งทางเดินอีกฝั่ง
จากนั้นจึงตะโกนไปว่า “ทำไมยังไม่กลับบ้าน ตึกปิดแล้วครับ” คนที่ยืนอีกฝั่งก็ไม่ตอบอะไร ยามทั้งสองคนจึงโมโหเลยเดินเข้าไปหา พอใกล้จะถึงก็ส่องไฟฉายเข้าใส่ พบเป็นผู้ชายยืนอยู่ปกติ ภาพที่เห็นดูจะไม่ผิดแปลกอะไร แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าชายคนนั้นไม่มีท่อนล่าง ตั้งแต่เอวลงไปไม่มีอะไรเลย และที่ยิ่งน่าสะพรึงเข้าไปอีกคือ ชายคนนั้นจู่ๆ ก็ฟ้อนรำ ทำเอาคนที่พบเห็นตกใจแทบจะหนีไม่ทัน ซึ่งวิญญาณชายฟ้อนรำที่เห็นน่าจะเป็นครูฮอนที่กลับมาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัยของตนนั้นเอง
เปิดบันทึกหลอน : มอ.หาดใหญ่
เรื่องราวของมหาวิทยาลัยแห่งนี้น่าสนใจทีเดียว เพราะ มอ.หาดใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นมหาวิทยาลัยเท่านั้น ยังเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้อีกด้วย ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีเรื่องชวนขนหัวลุกเกิดขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องเล่า “ด้ายแดง” ที่ตึก MNL เป็นตึกสำหรับวิชากายวิภาคศาสตร์ หรือพูดง่ายๆ คือเป็นตึกที่ใช้เก็บรักษาร่างของอาจารย์ใหญ่นั่นเอง และได้มีนักศึกษาปี 1 ได้มาเรียนที่ตึกแห่งนี้เป็นวันแรก จึงไปถามยามว่าลิฟต์อยู่ทางไหน ยามคนนั้นก็บอกทางไปตามปกติ ก่อนจากกันนักศึกษาก็ได้สังเกตเห็นว่าที่ข้อมือของยามคนดังกล่าวมีด้ายสีแดงผูกอยู่ หลังจากเรียนเสร็จน้องนักศึกษาก็ไม่เคยเจอยามคนนั้นอีกเลย และต้องถึงกับช็อกเมื่อรู้ว่าตึก MNL ไม่เคยมียามประจำการอยู่เลย และด้ายที่ใช้ผูกที่ข้อมือแท้จริงแล้วคือด้ายที่ใช้ผูกข้อมืออาจารย์ใหญ่
อีกหนึ่งเรื่องผีที่น่ากลัวไม่ต่างกันคือเรื่องเล่าตำนาน “ตึกฟักทอง” ตึกนี้เป็นภาคเคมีของคณะวิทยาศาสตร์ ที่นี่จะมีตึกที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย นั้นคือตึกฟักทอง เพราะมีลักษณะเหมือนฟักทองนั่นเอง เรื่องเล่านี้น่าสนใจไม่น้อยเพราะเป็นความเชื่อของเด็กนักเรียนหลายว่าถ้าพากันมาเดินนับกลีบที่ตึกแห่งนี้จะเอนท์ไม่ติด ส่วนถ้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมาเดินนับก็จะเรียนไม่จบเช่นเดียวกัน และยังมีห้องเรียนใต้ตึกฟักทอง ที่จะมีม่านสีน้ำเงินหมด แต่มีเพียงห้องเดียวเท่านั้นที่มีม่านเป็นสีดำ ว่ากันว่าเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเสียชีวิตลงที่ห้องนั้น ทางคณะจึงไว้อาลัยด้วยการเปลี่ยนม่านเป็นสีดำ จึงทำให้บรรยากาศในห้องชวนขนลุกไปโดยปริยาย
เปิดบันทึกหลอน : ม.กรุงเทพ
ใครไม่เคยฟังเรื่อง “ศาลหอแกรนด์” คงต้องลองอ่านกันหน่อยแล้ว เพราะนี้คือเรื่องเฮี้ยนที่ดังสุดๆ ประจำมหาวิทยาลัยกรุงเทพเลยทีเดียว ศาลที่ว่านี้ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าศาลหอแกรนด์เพราะตั้งอยู่หน้าหอแกรนด์คอนโด ซึ่งกิตติศักดิ์ความน่ากลัวนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะมีทั้งผีอิสลาม ผีผู้ชายร่างสูงใหญ่ตาแดง หรือเคยเกิดเหตุการณ์โดดตึก โดนยิงมาแล้วทั้งนั้น
ซึ่งที่น่าสนใจคือศาลนี้จะเห็นเฉพาะเด็กปี 1 ที่เข้ามาใหม่และไม่เคยได้ยินหรือรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาลแห่งนี้มาก่อน ศาลแห่งนี้มีการหลอกหลอนที่ไม่ธรรมดาเพราะเด็กปี 1 แต่ละคนจะเห็นศาลลักษณะต่างกันไป บ้างก็เห็นเป็นศาลไม้เก่าๆ แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นศาลปูนสีขาวใหญ่โต ซึ่งคนที่เห็นจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “พอเดินผ่านอีกครั้ง ก็ไม่เห็นศาลนั้นอีกแล้ว” เรื่องสยองนี้ถือเป็นเรื่องโด่งดังและสร้างความสะพรึงกลัวให้กับนักศึกษา ม.กรุงเทพไปตามๆ กัน
ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต (รูปภาพไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา) และขอบคุณข้อมูลจากคุณ SteeL14s : ผู้จัดการออนไลน์