กรมสุขภาพจิต เผยผลสำรวจระดับชาติล่าสุดในปี 2556 พบ คนกทม. ป่วยจิตเวช ตั้งแต่อายุ18 ปีขึ้นไป ร้อยละ 11.5 มีปัญหาสุขภาพจิต คาดว่ามีประมาณ 520,000 คน เร่งพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพใจ เล็งพัฒนาประธานชุมชนในพื้นที่กทม. กว่า 2,000 ชุมชน เป็นผู้เชี่ยวชาญสุขภาพจิตชุมชนเป็นพลังเครือข่ายป้องกันการป่วยร่วมกับอสส.พร้อมวิจัยพัฒนาโปรแกรมบริหารใจสร้างสุขให้ผู้สูงวัยในกทม.ผลทดลองใช้ในปี 2560 พบว่าได้ผลดี คะแนนความสุขพุ่งขึ้นชัดเจน
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขณะนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนในสังคม โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่นในกทม.ประชาชนที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร์จำนวน 5.6 ล้านกว่าคน แต่สภาพความเป็นจริงคาดว่าจะมีประมาณ 10 ล้านคน สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่หนาแน่น จะส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะการเผชิญกับความเครียดกับสิ่งแวดล้อม มลพิษทางอากาศ การเดินทาง การใช้ชีวิตประจำวัน ผลการสำรวจกรมสุขภาพจิตครั้งล่าสุดในปี 2556 พบว่าประชาชนในกทม.อายุ 18 ปีขึ้นไป ป่วยทางจิตเวชและมีปัญหาสุขภาพจิตร้อยละ 11.5 หรือประมาณ 520,000 คน
ขณะนี้กรมสุขภาพจิตได้ร่วมมือกับกทม. จัดระบบบริการรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชทุกโรคทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการรุนแรง ยุ่งยาก ซับซ้อน ส่วนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาเพื่อให้ประชาชนในกทม.ทุกกลุ่มวัยมีสุขภาพจิตดี และมีภูมิต้านทานปัญหาสุขภาพจิต มีศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 ซึ่งตั้งอยู่ที่ชุมชนวัดม่วงแค เขตบางรัก เป็นหน่วยงานหลักประสานความร่วมมือสนับสนุนวิชาการความรู้ต่างๆแก่หน่วยงานเครือข่ายในกทม.และที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะการวิจัยหารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นชุมชนเมือง ที่มักไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจ พูดคุยกับคนรอบข้างหรือเพื่อนบ้านเหมือนในชนบท ยุทธศาสตร์สำคัญจะเน้นสร้างความเข้มแข็งชุมชนที่มี 2,068 ชุมชน ซึ่งมีสภาพหลากหลายทั้งชุมชนแออัด คอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร โดยวางแผนพัฒนาศักยภาพแกนนำภาคประชาชนในชุมชน 2 กลุ่ม
คือกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข(อสส.)ของกทม.ที่มีอยู่แล้ว ต่อยอดให้เป็นอสส.เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตชุมชนเช่นเดียวกับที่อสม.ทุกจังหวัด และกลุ่มที่ 2 คือประธานชุมชนซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักพื้นที่และชุมชนดีที่สุด จะจัดอบรมให้ความรู้เป็นกรณีพิเศษ พัฒนาให้เป็นประธานชุมชนเชี่ยวชาญสุขภาพจิตชุมชนด้วย ได้ให้ศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 จัดทำหลักสูตรเป็นการเฉพาะแล้ว อาจใช้เป็นต้นแบบพัฒนาสุขภาพจิตในชุมชนเมืองขนาดใหญ่ในพื้นที่อื่นๆในอนาคตได้ด้วย
ทางด้านนายแพทย์ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาศูนย์ฯได้จัดทำโครงการศึกษาวิจัยโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อพัฒนาเป็นเทคโนโลยีสร้างความสุขให้ผู้สูงอายุในพื้นที่กทม. ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 9 แสนกว่าคน หรือร้อยละ18 ของประชากรทั้งหมด มากเป็นอันดับ2 รองจากวัยแรงงาน ร้อยละ 92 ยังช่วยเหลือตนเองได้ดีไปไหนมาไหนได้ โดยผู้สูงอายุร้อยละ 61 เคยรู้สึกเบื่อหน่าย วิตกกังวล เครียด มีภาวะซึมเสร้าติดต่อกันเป็นสัปดาห์ และส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 97 จะอยู่บ้าน ไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุที่มี 354 ชมรม เนื่องจากชมรมขาดกิจกรรมจูงใจ และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ
นายแพทย์ทวีศักดิ์กล่าวต่อว่า โปรแกรมส่งเสริมความสุขที่วิจัยครั้งนี้ ออกแบบให้สอดคล้องวิถีชีวิตผู้สูงอายุชุมชนเมือง เรียกว่าเอมบีแคท ( Mindfulness-based Cognitive Behavior and Acceptance Therapy:MBCAT ) เป็นการประยุกต์การฝึกสติร่วมกับกิจกรรมการสร้างสุข 5 มิติ มี 8 กิจกรรม ผลการทดลองใช้ในชมรมผู้สูงอายุที่อยู่ในศูนย์บริการสาธารณสุขของกทม.ใน 8 พื้นที่
ได้แก่ ราชปรารภ,บางซื่อ,บางเขน ,บุคคโล,วัดไผ่ตัน,ทับเจริญ,ล้อม-พิมเสน-ฟักอุดม ,และบมจ.ธนาคารนครหลวงไทย มีผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการ 235 คน ใช้เวลา 8 สัปดาห์ 8 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมงและให้ไปฝึกสติต่อที่บ้าน จากการประเมินผลพบว่าให้ผลดี ผู้สูงอายุมีความสุขเพิ่มขึ้นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อน
เข้าร่วมกิจกรรม แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1.กลุ่มผู้สูงอายุที่มีความสุขในระดับที่น้อยกว่าคนทั่วไป ลดจากร้อยละ 43 เหลือเพียงร้อยละ 10 , 2.กลุ่มที่มีความสุขเท่ากับคนทั่วไป เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44 เป็นร้อยละ 49 และ 3 .กลุ่มที่มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป เพิ่มจากเดิมที่มีร้อยละ 13 เป็นร้อยละ 41 ซึ่งในปี 2561 นี้ ได้ขยายใช้โปรแกรมนี้ในชมรมผู้สูงอายุ 273 ชมรม และจะครอบคลุมทั้งหมดดำเนินการร่วมกับกทม. และชมรมผู้สูงอายุทุกชุมชน