ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า อัปลักษณ์ที่สุดในโลก เอาภาพที่โซเชี่ยลล้อเลียนตัวเธอเองมาโพสต์ในเฟสบุ๊คแฟนเพจ แห่ให้กำลังใจเกินแสน
เทรนด์ที่เรียกกันว่า Meme หรือก็คือการสร้างมุขขำขันบางอย่างโดยใช้ภาพหรือคลิปมาแต่งเติมเพิ่มข้อความเข้าไป และก็เผยแพร่เข้าสู่โซเชี่ยล ซึ่งบางครั้งบุคคลที่ถูกนำมาล้อเลียนก็อาจจะเป็นผู้ที่มีความแตกต่างจากคนอื่นในสังคมอย่างมาก และหลายครั้งมันก็อาจเป็นความสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่นได้
และเหยื่อคนล่าสุดของอารมณ์ขันที่น่ารังเกียจนี้ก็คือ ลิซซี เวลาสเควซ ผู้หญิงที่ถูกตั้งฉายาว่า “ผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก”
ลิซซี เวลาสเควซ (Lizzie Velasquez ) จากเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเกิดมาพร้อมโรคที่เป็นเรียกชื่อว่า Marfan Syndrome ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และจัดเป็นโรคที่พบน้อยมาก โดยมันทำให้ลิซซีไม่มีเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนังเลย และทำให้เธอต้องทานอาหารบ่อยมากเพื่อให้ได้รับพลังงานเพียงพอ
แม้ว่าแพทย์จะบอกว่าเธออาจมีชีวิตแบบปกติไม่ได้ แถมเธอก็ต้องเสียการมองเห็นของตาข้างขวาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และมีปัญหากับปอด แต่ลิซซีก็เติบโตขึ้นขึ้นและไม่เคยท้อแท้กับชีวิตเลย จนกระทั่งปัจจุบันเธอมีอายุ 27 ปีแล้ว และเป็นนักพูดเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้คน และเป็นนักเขียนที่ออกหนังสือมาแล้ว 2 เล่ม
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา เธอได้โพสต์ภาพ Meme ล้องเลียนตัวเธอเองที่เธอพบบนโซเชี่ยล โดยข้อความที่ล้อเลียนเธอเขียนว่า “ไมเคิลบอกฉันว่าจะมาพบฉัน แล้วเราจะสนุกกันหลังต้นไม้นี้ แต่เขายังไม่มาเลย ใครช่วยแท็กเขาหน่อย บอกว่าฉันยังคอยอยู่นะ”
สิ่งนี้ทำร้ายความรู้สึกเธออย่างมาก จนเธอตัดสินใจแชร์มันลงในเฟซบุ๊กให้แฟนเพจกว่า 1 แสนคนของเธอได้เห็น โดยเธอข้อความใต้ภาพว่า
“ฉันได้เห็นข้อความแบบนี้บ่อยมาในเฟซบุ๊ก และฉันมาโพสต์เรื่องนี้ไม่ใช่ในฐานะของเหยื่อที่ถูกกระทำ แต่ในฐานะใครบางคนที่อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็คือมนุษย์คนหนึ่ง และฉันขอให้คุณจำมันเอาไว้ในครั้งต่อไปเมื่อคุณได้เห็นภาพล้อเลียนใครสักคนที่คุณไม่รู้จัก”
“แม้ว่าคุณจะรู้สึกว่ามันน่าขบขัน แต่คนที่อยู่ในภาพเขาอาจรู้สึกตรงข้าม จะดีกว่าที่จะให้ความรักกับผู้อื่น แทนที่จะด่าว่าเขาบนจอ”
และในเวลาไม่นานก็มีแฟนเพจของเธอเข้ามากดไลค์และแชร์มากกว่าแสนคนแล้ว พร้อมทั้งให้กำลังใจลิซซีและแม่ของเธอ ผู้ซึ่งโพสต์ข้อความว่า “ในฐานะแม่ สิ่งนี้เจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยาย แต่ฉันยังยืนหยัดที่จะทำตามคำพูดของลูกสาว ให้ความรักแก่กันนั้นดีกว่า”