ผู้สื่อข่าวโดดเด่นดอทคอม รายงานว่า วันนี้ (18 มิถุนายน 2560 ) นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้กรมสุขภาพจิตเร่งกระตุ้นให้พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพ เนื่องจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบันลดลงจากเดิมเฉลี่ยวันละ 2,217 คน ในปี 2548 เหลือวันละ 1,861 คน ในปี 2558 จึงต้องเร่งสร้างศักยภาพให้เด็กไทยมีความฉลาดทั้งเชาวน์ปัญญาหรือไอคิว (IQ)ที่ดี ควบคู่กับการมีความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว ( EQ ) ที่ดีด้วย
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้มนุษย์ประสบผลสำเร็จมีชีวิตที่เป็นสุข โดยไอคิวเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เปนตัวทํานายความสามารถการเรียนรู้ การจํา การคิด ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและการสื่อสาร
ส่วนอีคิวเป็นความสามารถในการจัดการอารมณตนเอง เขาใจตนเองและผูอื่น ควบคุมและแสดงออกอยางเหมาะสม ซึ่งทั้ง 2 คิวนี้ สามารถกระตุ้นและพัฒนาให้ดีขึ้นจากการเลี้ยงดู เริ่มตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ จนถึงเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอายุ 18 ปี หากเด็กได้รับเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จะเป็นผูใหญ่ที่อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ใชความสามารถทางสติปัญญาตนเองได้อย่างเต็มที่
“ไอคิวและอีคิวมีบทบาทสงเสริมการทํากิจกรรมต่างๆซึ่งกันและกัน คนที่มีไอคิวสูงอยางเดียวอาจไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควร หากมีไอคิวธรรมดาแต่มีอีคิวสูงทําใหประสบความสําเร็จ หรือหากมีไอคิวและอีคิวสูงทั้งคู่ก็ยิ่งประสบความสําเร็จมาก การมีอีคิวสูงจะช่วยให้การเรียนรูในการดําเนินชีวิตดีขึ้น
ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตล่าสุดในปี 2559 พบว่าเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 มีไอคิวเฉลี่ย 98.23 จุด ซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่กำหนดเฉลี่ย 100 จุด ส่วนอีคิวพบว่าร้อยละ 77 อยู่เกณฑ์ปกติ มีกลุ่มที่มีอีคิวต่ำต้องพัฒนาร้อยละ 23 กรมสุขภาพจิตตั้งเป้าภายในพ.ศ. 2564 จะเพิ่มระดับไอคิวของเด็กเฉลี่ยให้ได้ 100 จุด และมีอีคิวระดับปกติไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญที่ทำให้เด็กไทยยังมีไอคิวและอีคิวไม่เต็มศักยภาพ ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อผิดๆในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ ทำให้เด็กสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาทักษะทางอารมณและสังคมอื่น ๆ เช่น เชื่อว่าการรักลูกคือการเลี้ยงดูใหลูกสุขสบาย พอแมทําทุกอยางแทนลูก เชื่อว่าเด็กเล็กยังไมจําเปนตองสอนอะไรมาก โตขึ้นเด็กจะเรียนรู้และคิดอะไรได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นจึงมักปลอยปละละเลยไม่จัดการอะไรเมื่อลูกทำสิ่งไม่ถูกต้อง หรือเชื่อว่าการให้ของทุกอยางที่ลูกตองการคือการแสดงว่าพ่อแม่รัก หรือเชื่อว่าคนที่เกงและประสบความสําเร็จในชีวิตคือคนที่เรียนดี จึงมุ่งให้ลูกเรียนอยางเดียว ไมตองรับผิดชอบงานหรือกิจกรรมอื่นๆ ความเชื่อเหล่านี้จะทำให้เด็กขาดโอกาสได้รับการพัฒนา ทำให้เด็กปรับตัวได้ยาก ไม่รู้จักการเป็นผู้ให้ เมื่อพบความผิดหวังในการเรียนหรือทำงาน จะไม่สามารถปรับตัวได้
โดยความรักที่ถูกต้องของพ่อแม่คือการเลี้ยงดูให้ลูกช่วยเหลือตนเองและพึ่งพิงตนเองได้ จะทําใหเด็กเปนอิสระมีความภาคภูมิใจตนเอง และเข้าใจคนอื่น เด็กที่ถูกเลี้ยงดูอยางสุขสบาย จะขาดความอดทน ขาดความเข้าใจเห็นใจคนที่ยากลำบาก ไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่น
ทางด้านแพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า วิธีการเลี้ยงลูกอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กมีไอคิวเต็มศักยภาพ พ่อแม่ต้องใช้วิธีฝึกดังนี้
1. ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต เช่นฝึกให้จำแนกความเหมือนความต่างของสิ่งของต่างๆ การสังเกตจะช่วยดึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเด็กออกมาให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการใช้แก้ปัญหาหรือการหาทางเลือกที่เหมาะสม 2. ฝึกให้เด็กถายทอดจินตนาการความรู้สึกนึกคิดออกมา ให้เด็กเกิดทักษะการใช้ภาษาสื่อสารที่ถูกต้อง
3. ฝึกให้เด็กคิดเชื่อมโยงเหตุผลความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆหรือสถานการณตางๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัว 4. ฝึกการทำงานประสานกันของประสาทสัมผัสระหว่างมือและตา ซึ่งมีความสำคัญในการแสดงความสามารถทางสติปัญญาในการเรียนรู้ การคิด และการใช้เหตุผลแก้ปัญหา
ส่วนการพัฒนาอีคิว มีดังนี้ 1. ต้องฝึกให้เด็กรู้จักอารมณ์ตัวเองและการควบคุมอารมณ์ เพื่อให้เด็กรู้เท่าทันและไมเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ จะช่วยให้เด็กสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีเมื่อโตขึ้น รวมทั้งฝึกการควบคุมการเอาชนะความอยาก
เช่น อดใจไมรับประทานอาหารที่ทําใหเสียสุขภาพ 2. ฝึกให้เรียนรู้ระเบียบวินัยง่ายๆในชีวิตประจำวัน ให้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด การยอมรับผิด พ่อแม่ควรพูดคุยเรื่องคุณธรรมจริยธรรมในชีวิตประจําวันกับเด็กทุกวัน อาจนำสุภาษิตคําพังเพยในอดีตมาใช้ก็ได้ เด็กจะค่อยๆซึมซับคำสอนเหลานั้น
และ 3. ฝึกให้เด็กได้เล่นตามวัยไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน เด็กจะสนุกสนาน มีจิตใจร่าเริงแจ่มใส ซึ่งจะเป็นพื้นฐานทางอารมณ์ดี
สำหรับการฝึกทั้งไอคิวและอีคิวในเด็กโตจนถึงวัยรุ่น ขอให้พ่อแม่ใช้หลัก ๔ ฉลาด คือ ฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดใจ และฉลาดสัมพันธ์ โดยฉลาดคิด ฝึกให้เด็กรู้จักการคิดหลากหลายวิธีและเห็นผลที่ตามมา ฉลาดทำพ่อแม่ต้องมอบหมายงานให้เด็กรับผิดชอบเช่นทำงานบ้าน เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักการวางแผนทำงานให้สำเร็จ ซึ่งเป็นการสร้างความขยัน พากเพียร มีวินัยควบคุมตนเองและเรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ฉลาดใจโดยการโอบกอดลูก เด็กจะมีพลังใจ เข้าใจและรู้วิธีดูแลอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง มีคุณธรรมมองโลกในแง่ดี
ส่วนฉลาดสัมพันธ์โดยผ่านกระบวนการเล่น ทั้งเล่นกับเพื่อนหรือพ่อแม่เล่นกับลูก เพื่อให้เด็กรู้กติกา ได้รับความสนุกสนาน จิตใจร่าเริงแจ่มใส เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แบ่งปันช่วยเหลือ เข้าใจและรู้วิธีดูแลอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น
ทั้งนี้ขอให้พ่อแม่ทุกคนพึงตระหนักว่า “ลูกไมยอมหลนไม่ไกลตน” นั่นคือพอแมคือบุคคลสําคัญที่ลูกจะลอกเลียนแบบ ทั้งการพูดการกระทําของพอแม่ จะเปนตัวถายทอดความคิดและคานิยมแทบทุกเรื่องลงสูลูกโดยไม่รู้ตัว แพทย์หญิงมธุรดากล่าว
Cr.แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์