ทุกข์ระทมของคนซื้อคอนโด เตือนหนุ่มสาวฝันอยากอยู่ รังนกกระจอก
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์เรื่องราว ทุกข์ระทมของคนซื้อคอนโด โดยระบุว่า เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้มาจากหนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานคู่หนึ่ง วาดฝันว่าจะมีชีวิตคู่ที่แสนสุขในคอนโดไซส์เท่า รังนกกระจอก ใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯที่ล้อมรอบไปด้วยตึกสูงแทบทุกมุมถนน
แต่นี่เหมือนฝันสลาย เมื่อกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่ม “เห็นแก่ได้” และเอาเปรียบผู้ซื้อมากเข้าไปทุกทีเริ่มต้นจากขายคอนโดบนกระดาษโบรชัวร์ เป็นการลงทุนที่แสนถูก โดยมีรูปภาพตึกและทำห้องตัวอย่างให้ดู แต่ว่ายังไม่ได้โอนแม้กระทั่งที่ดิน ต่อมาก็เปิดให้คนแห่แหนกันมาจับจอง จ่ายเงินมัดจำ ผ่อนเงินดาวน์ทุกเดือน แต่เวลาผ่านไปเป็นปีก็ยังไม่ได้สร้าง โดยมีข้ออ้างสารพัด ไม่ว่ายังไม่ได้ใบอนุญาต ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากฝ่ายสิ่งแวดล้อม
แล้วทำไมไม่ขออนุญาตก่อนขาย? ปล่อยให้ขายก่อนได้ไงก็ไม่รู้?
หลายปีผ่านไปบริษัทขายคอนโดมหาชน ยกตัวอย่างชื่อย่อ “…” ก่อสร้างคอนโดย่านรัชดาก็ยังไม่เริ่มสร้างเสียที แม้ว่าผู้ซื้อคู่นี้จะเที่ยวเก็บหอมรอมริบ จ่ายเงินตรงทุกงวด เพราะถูกขู่ว่าหากจ่ายไม่ตรงจะถูกค่าปรับ แถมยังมีงวดพิเศษที่เรียกว่า “Bullet” คือการจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินค่างวดปกติ
นับเป็นเวรกรรมของผู้ซื้อโดยแท้ เวลาผ่านไปเป็นปีๆ เงินไปตกอยู่กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซ้ำยังหน้าด้านไปขึ้นโครงการใหม่เก็บเงินลูกค้ารายใหม่เข้าไปอีก
นี่ยังไม่พูดถึงการคุมตลาด โดยร่วมมือกับธนาคาร ลดจำนวนเงินดาวน์ให้เหลือน้อยนิด จนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กไม่ได้ผุดได้เกิด และด้วยความสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ ยังสามารถออกหุ้นกู้หาเงิน ทั้งที่ตลาดหลักทรัพย์น่าจะมีการควบคุมบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ให้มีหลักธรรมาภิบาล และมีมาตรฐานสูงกว่าบริษัทที่ไม่ใช่มหาชน
แต่เปล่า กลับเหมือนเอื้อประโยชน์ เพราะบริษัทเหล่านี้ใหญ่โตขึ้นทุกวัน หาเงินกู้ได้ง่าย และไปอวดว่ามีรายได้สูง แสดงผลรับรู้รายได้ว่ามีกำไรมาก ยอดขายมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดเพิ่มสูงขึ้น แมงเม่าผ่านมาเห็นก็แห่กันไปซื้อ ได้กำไรเข้าไปอีก
“….ผมคิดว่ารัฐบาลน่าจะเริ่มมีหน่วยงานเข้าไปควบคุม เพราะไม่เพียงแต่สร้างเสร็จแล้วบังคับให้รีบโอน แต่คุณภาพของงานดันห่วยแตก ทั้งรั่ว ทั้งตัน ทั้งร้าว แตกต่างจากโบรชัวร์และห้องตัวอย่างแสนสวย เพียบพร้อมไปด้วยพริตตี้ตอนขาย ราวฟ้ากับเหว พอโอนเสร็จเกิดปัญหาอะไรก็โยนไปให้นิติบุคคล ที่แท้จริงแล้วเป็นบริษัทในเครือ ส่วนเจ้าของโครงการหนีหายเข้ากลีบเมฆไปขึ้นที่ใหม่ผมเคยบอกแล้ว โจรที่ใส่สูทมันน่ากลัวกว่าโจรที่ถือปืนหลายร้อยเท่า หากใครมีประสบการณ์ทำนองนี้ แชร์ความทุกข์ระทมให้รัฐบาลเขาฟังหน่อย….”