ในยุคที่ใครต่อใครแสวงหาความงามอันไม่มีสิ้นสุด The Age of Adaline : หยุดเวลา รอปาฏิหาริย์รัก ดูจะพูดถึงเรื่องที่ว่าได้อย่างน่าสนใจ แม้หน้าตาของภาพยนตร์จะดูเพ้อฝันไปกับความรักและความงามมากไปหน่อยก็ตาม
ด้วยเรื่องราวของ “อดาไลน์ โบว์แมน” หญิงสาวที่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้ร่างกายหยุดเจริญเติบโตนับแต่อายุ 29 ปี อันหมายถึงได้รับสิทธิไม่แก่ตลอดชีพ ซึ่งคงเป็นเรื่องดีกับความสาวที่ไม่ต้องพึ่งสารเติมแต่ง
หากการมีชีวิตยาวนานนับ 8 ทศวรรษ โดยต้องเก็บงำความลับไว้อย่างเงียบงันและเผชิญหน้ากับการจากลานับครั้งไม่ถ้วน เป็นความขมขื่นที่ไม่น่ายินดีเท่าไรนัก
หนังฉายภาพความเศร้าที่เกาะติดอยู่ภายใต้ความงามได้อย่างแนบเนียนแต่ไม่ได้ขยี้ซ้ำมากพอให้รู้สึกกดดันตามไปได้ ผนวกกับรูปแบบการเล่าเรื่องทำนองเทพนิยายที่เหมือนจะบอกกลายๆ ว่า ปล่อยใจให้สบายและอย่าคาดหวังเหตุผลให้มากนัก ก็พอให้เตรียมใจได้บ้าง
อย่างไรเสียผู้ชื่นชอบแฟชั่นคงถูกใจกับเสื้อผ้าหน้าผมของบรรดาตัวเอกที่ละเมียดละไมโดยเฉพาะ “อดาไลน์” ที่แค่มองความเปลี่ยนผ่านตามยุคสมัยก็เพลินตาแล้ว แถมการได้ เบลค ไลฟ์ลี มาสวมบทสาวเจ้าคือความดีงามอย่างถึงที่สุดของเรื่อง จนไม่อาจละสายตาได้จริงๆ แต่ “ความงาม” ที่ผิดเพี้ยนจะมีประโยชน์อะไรหากฉุดชีวิตให้จมอยู่กับความแปลกแยก
ในขณะที่โลกแห่งความจริง เราเห็นมนุษย์ทำทุกวิธีเพื่อคงสภาพตนไว้ในแบบที่พึงพอใจ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร หากในทางกลับกัน “อดาไลน์” ยอมทุกทางเช่นกัน แต่เพื่อให้เหี่ยวย่นและชราตามวัยในแบบที่ใครไม่พึงประสงค์นัก นั่นเพราะเธอมองเห็นความไม่สมบูรณ์ในตัวเองที่คนอื่นอาจไม่เห็น หรือต่อให้เห็นก็ไม่รังเกียจความพิกลพิการที่ถูกฉาบไว้ด้วยหน้าตาสะสวย
แท้จริงแล้วความงามไม่ใช่คำตอบของชีวิต และถ้ามองข้ามหน้าฉากสวยหรูของภาพยนตร์ไป เราอาจได้เห็นสัจธรรมในนั้น