ที่มา: thestarthailands

หลังจากมีข่าวจากทางสื่อเมืองนอกหลายๆ แห่ง ที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนไทยอย่างมาก ล่าสุดในโซเชี่ยลมีเดียได้เผยแพร่บทความจาก kalyakorn หรือ เอิร์น กัลยกร นาคสมภพ อดีตนักแสดง และ นักร้องชื่อดัง

2016-10-23_8-52-31

kalyakorn  ระบุว่า ฉันชื่อกัลยกร อายุ 33 ปี เป็นคนที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย ฉันมองว่าตัวเองเป็นคน 2 ภาษา ด้วยความที่เรียนประถมในโรงเรียนไทย แล้วไปต่อชั้นมัธยมในโรงเรียนนานาชาติ ในฐานะที่เป็นคนสองภาษาและเป็นคนที่สนใจประวัติศาสตร์มาก ฉันจึงโชคดีมากที่สามาถเข้าถึงข้อมูลและอ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ทั้ง 2 ภาษา

ซึ่ง… บอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ทำเสมอ ถ้าจะว่ากันตามตรง ฉันเริ่มจากการศึกษาประวัติศาสตร์ของอารยธรรมอื่นก่อนเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่จะเริ่มหันมาสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทย

ช่วงเวลา 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยไทยทำให้ฉันตระหนักว่า… ฉันรู้เรื่องบ้านเมืองของตัวเองน้อยเหลือเกิน การเดินทางไปในที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นในถิ่นชนบท การต้องนั่งรถทัวร์ การต้องนอนในวัด การต้องทานอาหารพื้นบ้านที่ห่างไกลจากคำว่าหรูหรา เช่น การกินแคบควายกับข้าวเหนียว ทำให้ฉันเห็นประเทศนี้ในมุมที่ไม่เคยเห็น

ฉันจึงเริ่มหันมากลับมามองที่ประเทศอันเป็นบ้านเกิดของตัวเอง ในเวลาเดียวกันนั้น ฉันก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน และเคยได้ผ่านประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์หลายๆ อย่างคล้ายกัน ฉันจึงได้เห็นความแตกต่างของแต่ละบ้านเมืองที่ฉันได้ไปเหยียบ และรู้สึกซาบซึ้งกับใครก็ตามที่ทำให้ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ในวันนี้

แต่ฉันพบว่าอดีตของเราไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนพยายามทำให้เราเชื่อ ฉันได้เรียนรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ต้องเร่งรัดประเทศให้เข้าสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อจะรอดพ้นจากการถูกคุกคามจากประเทศตะวันตก ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงล่าอาณานิคม

การศึกษาเรื่องราวจากทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ทำให้ฉันเห็นมิติที่ลึกซึ้งขึ้นในเรื่องราวมากมายที่เคยได้ยินตั้งแต่ตอนยังเด็ก

ฉันได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยเป็นอุดมคติที่หวานหอมและสวยหรู แต่กลับถูกยัดเยียดให้คนไทยอย่างฉับพลันผ่านการปฏิวัติรัฐประหาร ในตอนที่คนยังไม่พร้อม และไม่เคยได้รับการศึกษาที่ถูกต้องเพื่อจะเข้าใจว่า ประชาธิปไตย คืออะไร

ฉันได้ค้นพบความจริงว่า พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ต้องหนีออกจากประเทศ เพราะเสี่ยงเหลือเกินที่จะถูกจับขังหากอยู่ในประเทศไทย

999

ฉันยังได้เห็นความจริงผ่านการเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ชาติอื่น ว่าการขึ้นครองราชย์ของทั้งรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 นั้น…. ไม่ใช่เรื่องปกติ

รัชกาลที่ 8 นั้นท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ยังเป็นเด็กมาก ท่านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับครอบครัวเล็กๆ แม่ของท่านเป็นคนธรรมดา พ่อของท่านซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์นั้นเสียไปแล้ว

ท่านทรงถูกรัฐบาลในยุคนั้นทูลเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ด้วยหวังว่าน่าจะควบคุมกษัตริย์ที่ยังเยาว์วัยได้ง่าย เมื่อท่านโตขึ้นและพบว่าการเป็นกษัตริย์นั้นมีภาระหน้าที่มากมายกว่าการเป็นแค่หุ่นเชิด ท่านจึงเริ่มทำงานในฐานะกษัตริย์จริงๆ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในระหว่างการกลับมาเยี่ยมประเทศไทย

ท่านสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีมายาวนานระหว่างชาวไทยและชาวจีนในไทย

นั่นเอง… ที่ท่านเริ่มสามารถชนะใจของประชาชนได้… แล้วท่านก็ถูกลอบปลงพระชนม์… เพียงไม่กี่วันก่อนจะเสด็จกลับไปเรียนต่อ

หลังท่านเสด็จสวรรคต พระอนุชาของท่านจึงต้องขึ้นครองราชย์แทน ด้วยพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย มันอาจไม่ใช่แม้งานที่ท่านอยากได้ มันคืองานที่ถูกยัดเยียดให้ ในเวลาที่อันตรายเหลือเกิน แต่ท่านก็ทรงรับ

นี่คือความจริงที่คนไทยทุกคนรู้ แม้เราจะไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่ แต่เราก็รู้ ซึ่งฉันพบว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกมากเลย ที่สื่อต่างชาติมากมายมักชอบวาดภาพการครองราชย์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้เสียหรูหรา โดยกลับไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย

เพราะอย่างนี้… ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สุ่มเสี่ยงยากลำบาก และเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์อยู่ในจุดที่อ่อนแอที่สุด เรากลับได้พบกับพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานอย่างหนัก จนสามารถกุมใจของประชาชน และสามารถทำให้ราชวงศ์กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง

ท่ามกลางความแปรปรวนของความขัดแย้งทางการเมือง ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือคนเดียวที่ทรงแสดงให้เราเห็นถึงความจริงใจในประเทศนี้… ผ่านการทรงงานของท่าน

ฉันเคยได้ยินมากว่ากษัตริย์ไม่สามารถเป็นกษัตริย์ที่แท้จริงได้หากปราศจากแรงสนับสนุนจากประชาชน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงได้มาซึ่งบารมีด้วยความรักจากประชาชน

เราวางใจในตัวท่าน เราจึงเชื่อท่าน

นี่… ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับกฎหมายหมิ่นฯ แม้ว่าพวกคุณจะชอบจินตนาการของความคิดที่คนมีอำนาจข่มเหงประชาชนด้วยกฎหมายที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน แค่เพราะมันช่างเป็นภาพที่คุณคิดเหมาเอาเองว่าประเทศโลกที่สามควรจะเป็น

แต่ถ้าฉันบอกคุณว่าราชวงศ์ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงในการกำหนดกฎหมายล่ะ ถ้าฉันบอกคุณว่าอำนาจของกษัตริย์นั้นถูกจำกัดไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ในยุคที่มีการรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย… ล่ะ

ถ้าฉันบอกคุณว่าประเทศไทยมีระบบที่ชัดเจนเกี่ยวกับร่างกฎหมาย ที่ต้องไปผ่านสภาฯ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมักใช้เวลาหลายเดือน หรือหลายปีเสียด้วยซ้ำ.. ล่ะ

ถ้าฉันบอกคุณว่าคดีหมิ่นฯ ส่วนใหญ่นั้นถูกใช้ในเกมการเมือง และหลายคดีที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็เพราะมีคนต้องการสร้างความกดดันในสังคมเพื่อหวังประโยชน์บางอย่างส่วนตัว… ล่ะ

คุณจะเชื่อฉันมั้ย ?

มันไม่สนุกเท่าไหร่.. ใช่มั้ยล่ะ… แต่มันคือเรื่องจริง ไม่เป็นไรหรอก… ฉันเข้าใจหากคุณจะไม่เข้าใจ

แต่คุณสามารถเคารพลินคอล์น ยึดแมนเดลลาเป็นแรงบันดาลใจ หรือเสียใจกับการจากไปของคานธี… ได้อย่างไร? และคุณสามารถเลือกที่จะเชียร์อองซานซูจี หรือเลือกที่จะเชื่อถ้อยคำขององค์ดาไลลามะ… ได้อย่างไร?

พวกคุณส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยพบพวกเขาเหล่านั้นเหมือนกัน.. ใช่มั้ย? แต่พวกคุณกลับเชื่อเวลาที่ประชาชนรักและเคารพพวกเขา เพราะคุณเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ… ผ่านหลักฐาน ผ่านภาพถ่าย ผ่านวีดิโอ ผ่านบทสัมภาษณ์ ผ่านเรื่องราว…. ที่คนอื่นบอกคุณ

แล้วทำไมมันจึงยากเหลือเกินที่คุณจะเชื่อว่าความรักที่เรามีต่อในหลวงนั้นเกิดขึ้นมาจากความดีงามที่ท่านทำ? เพราะท่านเป็นกษัตริย์เหรอ? แค่เพราะประเทศนี้มีกฏหมายนั้นเหรอ?

ในเมื่อร่องรอยของการทรงงานหนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรา ยังคงมีให้เราเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาอย่างชัดเจน

คุณจะลองค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายๆ ที่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาคุกคามในประเทศแถบนี้ เอาจริงๆ คือตอนนั้นพวกคอมมิวนิสต์ได้มาจ่ออยู่ที่คอหอยเราแล้ว และเราสามารถเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นและยังคงสามารถเป็นประเทศประชาธิปไตยอยู่ได้อย่างไร

คุณยังสามารถขึ้นไปบนเขาและถามเหล่าผู้คนชนเผ่าต่างๆ ซึ่งไม่เคยได้รับการใส่ใจจากภาครัฐ ว่าทำไมเขาถึงมีรูปในหลวงประดับไว้ในบ้านทุกหลัง หรือคุณจะลองเดินทางไปในแถบชนบทที่เคยทุรกันดารทั่วประเทศนี้ก็ได้ ว่าพวกเขาได้ระบบชลประทานมาได้อย่างไร หรือโครงการฝนเทียมนั้นได้ช่วยอะไรพวกเขาบ้าง

ส่วนตัวฉัน ฉันได้เคยดูการถ่ายทอดสดทางทีวีสมัยที่ฉันยังเด็ก ในวันที่ทุกคนต่างออกมาถวายพระพรให้ในหลวงเนื่องในวันพระราชสมภพของท่าน ท่านกลับใช้โอกาสในวันนั้น… เรียกข้าราชการมาถามไถ่ความเป็นไปเรื่องน้ำ และเล่าทฤษฎีแก้มลิงที่ท่านทรงศึกษาและพัฒนามา

พร้อมกับอธิบายด้วยการวาดบนแผนที่ซึ่งท่านเตรียมไว้ …วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้เห็นในหลวงของฉันทรงงาน… ต่อหน้าต่อตา ในวันที่ท่านสามารถพักผ่อนและอิ่มเอมไปกับคำอวยพรของพสกนิกร โดยไม่จำเป็นต้องทรงงานเลย

ดังนั้น การยึดเอาตำแหน่งของท่านเป็นที่ตั้ง แล้วเหมารวมเอาว่าพวกเรารักในหลวงของเราเพียงเพราะเราไม่มีการศึกษา หรือการไม่สามารถมองเห็นในสิ่งดีๆ ที่ท่านได้ทรงทำไว้…. นั้นสุดแสนจะกลวงและมันแสดงให้เห็นถึงการละเลยในความจริงและมิติที่หลากหลายของวัฒนธรรมอื่น

แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก

ฉันไม่ได้เขียนบทความนี้เพื่อจะขอให้คุณมารักคนที่ฉันรัก …หรือแม้กระทั่งจะขอให้คุณเคารพท่านด้วยซ้ำ

ฉันเข้าใจหากคุณจะไม่เข้าใจในความจงรักภักดีที่เรามีต่อท่าน

แต่ฉันเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อจะขอสิ่งที่ง่ายดายกว่านั้นมากมาย…. ปล่อยให้พวกเราได้เศร้าโศกเถอะ

คุณจะเห็นเราร้องไห้ คุณจะเห็นเราพยายามทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าจะสามารถตอบแทนความรักที่ท่านทรงมีให้ประชาชนและการงานอย่างหนักเพื่อพวกเรา คุณอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเรารู้สึกเลยสักนิด ซึ่งก็ไม่เป็นไรหรอก …แต่ขอร้องเถอะนะ ปล่อยให้พวกเราได้เศร้าโศกในแบบของเรา และกรุณาเคารพในการสูญเสียของพวกเราด้วย

ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียกษัตริย์ผู้เป็นที่รัก ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ฉันเชื่อว่าอย่างน้อย… คุณก็คงจะสามาถเข้าใจว่าการเสียคนที่คุณรักและเคารพจากใจมันเจ็บปวดได้ขนาดไหน… ใช่มั้ย

มันคงไม่ยากเกินไปมั้ง

ชีวิตพวกคุณก็จะดำเนินไปตามปกติ แม้ว่าคุณจะไม่พูดถึงเรา …แต่ชีวิตพวกเรา ชีวิตพวกเราไม่เหมือนเดิมเลย และหัวใจของเรากำลังสลาย

ปล่อยให้พวกเราได้โศกเศร้าเถอะ ให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หยุดโจมตีพวกเรา อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาแห่งความหมองหม่นนี้ และ…. ช่วยเคารพต่อการสูญเสียของพวกเราด้วย

ด้วยความจริงใจ

กัลยกร นาคสมภพ

ขอบคุณที่มาจาก  kalyakorn

เรื่องน่าสนใจ