“แค่เฉพาะจมูกก็รวมแล้ว 12 ครั้ง ที่เหลือก็จะเป็นทำตา ทำลักยิ้ม คิ้ว ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อกซ์ตามจุดต่าง ๆ”

“ตั้ม–อชาสันต์ รัชฎามาศ” หนุ่มวัย 26 ปี ที่วนเวียนอยู่ในวงการบันเทิง เล่นเอ็มวีบ้าง ถ่ายแบบนิตยสารบ้าง เปิดฉากเล่าถึงประสบการณ์การทำศัลยกรรมของตัวเอง ในยุคที่ไม่ต้องพึ่งพายีนหรือโครโมโซมของพ่อแม่ เพื่อให้ตัวเองเกิดมาหน้าตาดีอีกต่อไป

จากหนุ่มร้อยเอ็ดที่เข้ามาเรียนระดับมัธยมและอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ในช่วงที่เรียนอยู่ปี 2 ม.หอการค้า อายุประมาณ 20-21 ปี เพื่อนของเขาชักชวนให้ไปเข้าโมเดลลิ่ง เพราะต้องการหารายได้แบ่งเบาภาระของครอบครัว ประกอบกับตามีขนาดไม่เท่ากันซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุถูกลูกปืนของเล่นในวัย เด็ก จึงตัดสินใจกรีดตา ซึ่งถือเป็นการกระโจนเข้าสู่วงการการทำศัลยกรรม
ครั้งแรก

“ตอนแรกผมไม่มีงานเลย แต่พอเริ่มทำศัลยกรรมก็เริ่มมีงานเข้ามา ผมก็เริ่มคิดที่จะทำศัลยกรรมเพิ่ม ระหว่างนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ถ่ายแบบหนังสือเธอกับฉัน ชีสซ์
แคนดี้ วอลลุม มิวสิกวิดีโอเพลงคนดื้อดึง ของ ไนซ์ทูมีทยู เพลงไม่รักเธอของหวาย และล่าสุดมิวสิกวิดีโอของวงแพนเค้ก”

ตั้มเริ่มฉีดคอลลาเจน ฉีดฟิลเลอร์เสริมจมูก พวกนี้จะต้องฉีด 4 เดือนครั้ง หรือ 8 เดือนครั้ง ฉีดอยู่ 6 ครั้ง แต่เขาสังเกตเห็นว่ารูปทรงจมูกไม่สวย เพราะโค้งและเบี้ยว ตั้มจึงไปปรึกษาหมอและตัดสินใจผ่าตัดใส่ซิลิโคน หลังจากนั้น ตั้มก็ผ่าตัด “เอาเข้าเอาออก” อีก 6 ครั้ง เพราะรูปทรงจมูกไม่สวยดังใจ เล็กไปบ้าง ใหญ่ไปบ้าง กว่าจะสวยถูกใจกับครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยเลาะเอากระดูกอ่อนหลังใบหูมาเสริม ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ดู “เนียน” เหมือนของจริง

นอกจากนี้เขายังผ่าตัดทำลักยิ้ม 1 ครั้ง ฉีดฟิลเลอร์ที่ริมผีปากล่างและบน เพื่อให้ปากได้รูป 2 ครั้ง ฉีดคาง 3 ครั้ง ฉีดร่องแก้ม 3 ครั้ง ฉีดหน้าผาก 2 ครั้ง ฉีดทำดอลลี่อาย ซึ่งทำให้ถุงใต้ตาล่างอิ่มสวย 1 ครั้ง ฉีดแก้มส้ม แก้มบริเวณด้านล่างลูกตา 1 ครั้ง สักขอบตา 3 ครั้ง สักคิ้ว 3 ครั้ง สักปากชมพู 1 ครั้ง และทำโบท็อกซ์เพื่อให้รูปหน้าเรียวอีกไม่ต่ำกว่า 16 ครั้ง

สนนตัวเลขการ “หล่อด้วยแพทย์” ที่มีภาษาพูดกันในแวดวงนี้ว่าทั้งหั่น กรีด ฉีด ไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง ซึ่งเขายอมรับตรง ๆ ว่า “เสพติดศัลยกรรม”

“ผมว่าคนที่เคยทำศัลยกรรมครั้งหนึ่งแล้วจะอยากทำเพิ่มมากขึ้น อย่างกรณีของผม พอทำตามาก็ต้องทำจมูกให้รับกัน จมูกทรงนี้ไม่เข้ากันก็ต้องไปทำใหม่ และอยากทำให้หน้าตอบลงจะได้ดูเรียว ถ้าไปฉีดคางอีกนิดก็จะดูดีขึ้น สักตาสักคิ้วจะทำให้หน้าตาดูเข้มขึ้น คือต้องศัลยกรรมส่วนอื่น ๆ เพิ่ม เพื่อให้มันเหมาะ รับกับรูปหน้า เลยกลายเป็นเสพติด เพราะเราต้องการให้มันดูดี”

หนุ่มคนนี้บอกว่า แม้เขาจะทำศัลยกรรมหลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะบอกแม่เพื่อขอรับความเห็นชอบก่อนทุกครั้ง รวมถึงจะต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนทำ เช่น สารที่จะใช้เป็นอันตรายไหม ควรจะทำที่ไหน หมอที่จะทำเป็นใคร มีความชำนาญแค่ไหน เพื่อความปลอดภัย ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญและยังเป็นการป้องกันความผิดพลาด

ยังคิดจะทำเพิ่มอีกไหม….??

ทุกคนคงอยากถามคำถามนี้ ซึ่งตั้มบอกว่า ตอนนี้เขาพอใจใบหน้าตัวเองแล้ว และคงหยุดไม่ทำอะไรเพิ่ม “ผมต้องรีบหยุดตัวเอง คิดว่าทำมาเยอะแล้ว ไม่ควรทำอีก แต่อาจจะมีทำโบท็อกซ์เพิ่มเพื่อให้หน้าเรียวบ้างเป็นบางครั้ง เพราะการทำพวกนี้มันจะสลายไปช่วง 8-10 เดือน แต่เรื่องผ่าตัดคงไม่แล้ว”

ตอนนี้ตั้มยังเปิดหน้าเพจเฟซบุ๊ก “ตั้ม ศัลยกรรม” เพื่อเล่าประสบการณ์ของตนเอง และแลกเปลี่ยน ให้ความรู้แก่คนที่ต้องการทำศัลยกรรม ซึ่งเขายืนยันว่าไม่ได้คิดจะส่งเสริมให้คนหันมาทำ เพียงแต่ต้องยอมรับว่าสังคมในยุคนี้คงห้ามยาก เพราะใครก็คงอยากหน้าตาดี เพียงแต่อยากให้คนที่คิดจะทำต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน ปรึกษาผู้ปกครอง ปรึกษาแพทย์ที่เชื่อถือได้ ก่อนตัดสินใจ และเมื่อตัดสินใจทำแล้วก็ควรทำแต่พอควร อย่ามี “ความต้องการ” มากเกินไป อย่างหน้าตาของคนไทยจะทำดั้งสูงเหมือนฝรั่งก็คงไม่ดี ทำไปแล้วก็อาจจะต้องมาผ่าตัดเอาออก

ดังนั้นควรทำแต่พอดี หรือหากสิ่งที่พ่อแม่ให้มา “ไม่น่าเกลียดจนเกินไป” ก็ไม่ควรเจ็บตัว หาสิ่งแปลกปลอมใส่เข้าไป…!?!.

ที่มา : [email protected]

ป้ายกำกับ:

เรื่องน่าสนใจ