“ตาปลา” ก็คือก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรังเป็นเวลานานนั่นเอง เราจึงพบตาปลาเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ที่บริเวณฝ่าเท้า เพราะเป็นส่วนที่แบกรับน้ำหนักตัวของเราตลอดเวลา ทั้งนี้ ตาปลามีด้วยกัน 2 ชนิด คือ “ตาปลาชนิดขอบแข็ง” มักขึ้นตามข้อพับ ส้นเท้า ฝ่าเท้า บริเวณที่ถูกกระแทก หรือเสียดสีบ่อยๆ กับ “ตาปลาชนิดอ่อน” มักขึ้นตามง่ามนิ้วเท้า
– ตาปลาเกิดจากสาเหตุภายนอก
หรือการกระทำของตัวคุณเองอย่างเช่น ใส่รองเท้าที่คับ บีบรัด หรือแน่นมากเกินไป รวมทั้งเดินเท้าเปล่าบ่อยๆ ซึ่งนอกจากจะเกิดบริเวณเท้าแล้ว อาจเกิดที่อวัยวะส่วนอื่นได้ เช่น บริเวณนิ้วมือที่ออกแรงกดมากเวลาจับปากกา เป็นต้น
– ตาปลาเกิดจากสาเหตุภายใน
หรือความผิดปกติของร่างกาย เช่น มีรูปเท้าผิดปกติ ทำให้เท้าถูกดทับมากมีกระดูกเท้าปูดนูนออกมา หรือเป็นโรคข้อรูมาตอยด์
ถ้าเป็นตาปลาขึ้นมาล่ะก็สิ่งแรกที่เราจะรู้สึกได้ก็คือความเจ็บปวดนี่แหละ เห็นตุ่มแข็ง ๆ เม็ดเล็กนิดเดียว ก็ทำให้เจ็บจี๊ดได้เลยนะ โดยเฉพาะถ้าตาปลามีขนาดใหญ่ แล้วเราต้องไปทำกิจกรรมที่ต้องใช้ฝ่าเท้ารับน้ำหนักมาก เช่น วิ่ง เดินนานๆ ยืนนานๆ หรือคนที่เป็นตาปลามีน้ำหนักมาก ก็ยิ่งทำให้เจ็บมากขึ้น เพราะก้อนแข็งๆ นี้จะยิ่งถูกกดให้ลึกเข้าไปในผิวหนัง บางทีไปกดทับกระดูกหรือเส้นประสาทเข้าอีก แบบนี้ต้องรีบหาวิธีรักษาเลย
การรักษาตาปลาให้ได้ผลนั้นมีอยู่หลายวิธีที่ขอนำเสนอก็คือ
1. ใช้พลาสเตอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก 40%
ปิดส่วนที่เป็นตาปลาทิ้งไว้ 2-3 วัน จากนั้นค่อยแกะพลาสเตอร์ออก แล้วแช่เท้าในน้ำอุ่นเพื่อให้ผิวหนังตรงฝ่าเท้านิ่มลง จะช่วยทำให้ตาปลาหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าตาปลาหลุดลอกออกไปยังไม่หมด ก็ให้แปะพลาสเตอร์ซ้ำ แล้วกลับมาแช่น้ำอุ่นอีกครั้ง
2. ใช้ยาแอสไพริน (แต่ไม่ได้ให้ทานนะ)
โดยในแอสไพรินก็มีกรดซาลิไซลิกเช่นกัน ก็ช่วยกัดตาปลาได้ (แต่คุณต้องมั่นใจด้วยว่าตัวเองไม่แพ้ยาแอสไพริน) วิธีใช้ก็คือ นำแอสไพริน 5 เม็ดมาบดเป็นผง แล้วผสมกับน้ำมะนาว 12 ช้อนชา และน้ำเปล่าอีก 12 ช้อนชา จากนั้นนำมาป้ายตรงตาปลา แล้วใช้พลาสติกมาห่อไว้ ตบท้ายด้วยการพันผ้าขนหนูอุ่น ๆ ทับอีกชั้นหนึ่ง ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วถอดออก แล้วใช้หินมาขัดเบา ๆ จะช่วยให้ตาปลาลอกออกมา
3. ทายากัดตาปลาหรือหูด
วันละ 1-2 ครั้ง หรือจนกว่าตาปลาจะหลุดออกไปหมด โดยมีคำแนะนำคือ ก่อนทายาให้แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนสัก 15-20 นาที เพื่อให้ผิวหนังนิ่มขึ้น แล้วใช้ผ้าขนหนูมาถูตรงตาปลาเพื่อลอกขุยออก จากนั้นอาจใช้วาสลินหรือน้ำมันมะกอกมาทาผิวรอบ ๆ ตาปลา เพื่อที่ผิวบริเวณนั้นจะได้ไม่ถูกตัวยาไปกัดผิวหนัง แล้วค่อยแต้มยาลงบนตาปลา
4. ผ่าตัดหรือใช้เลเซอร์จี้ตาปลาออก
เป็นอีกวิธีที่สะดวกรวดเร็ว แต่ก็อาจทิ้งแผลเป็นไว้ และที่สำคัญคือค่ารักษาแพงกว่าวิธีอื่น ๆ แต่วิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่เป็นตาปลาเพราะเกิดจากความผิดปกติของกระดูกที่ทำให้กระดูกเสียดสีกัน
5. ใช้หินขัดเท้า
โดยแช่เท้าในน้ำอุ่นแล้วขัดถูบริเวณที่เป็นตาปลา
6. เฉือนตาปลาออก
ควรทำให้ตาปลานิ่มลงก่อน โดยการแช่เท้าในน้ำอุ่นแล้วใช้มีดโกนเฉือน ซึ่งหากเฉือนอย่างถูกต้อง ไม่ลึกเกินไปก็จะไม่ทำให้เลือดออก ดังนั้นเมื่อเฉือนไปแล้วมีความรู้สึกเจ็บก็ควรหยุดทันทีเพราะหากมีเลือดออกอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียได้ ดังนั้นจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง
7. กระเทียมสด
ให้ฝานกระเทียมสดเป็นชิ้นหนา ๆ แล้วนำมาถูบริเวณที่เป็น และแปะส่วนที่เหลือตรงตาปลา พันผ้าพันแผลทับ แล้วปล่อยไว้ข้ามคืน จึงค่อยแกะทิ้ง ทำซ้ำทุกคืน นานประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ น้ำกระเทียมสดจะช่วยรักษาอาการที่เป็นอยู่ให้หายเร็วขึ้น หรือลองฝานมะนาวสด หรือ สับปะรด เป็นชิ้นบาง ๆ มาแปะแทน ก็ช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้เช่นกันค่ะ
8. น้ำมันสน
ให้นำผ้าสำลีเนื้อนุ่ม หรือผ้าขาวบางชุบน้ำมันสนแล้วแปะไว้บริเวณที่เป็น ช่วงก่อนนอน ทิ้งไว้ข้ามคืน ทำประมาณ 4 – 5 คืนติดต่อกัน วิธีนี้สามารถรักษาตาปลาได้อย่างดี
9. สูตรยารักษาตาปลา
ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้ น้ำมันมะพร้าว 1 ถ้วย น้ำมันการบูร 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันสน 1 ช้อนโต๊ะ หากน้ำมันมะพร้าวเป็นไข ให้นำมาอุ่นจนละลายก่อน แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำมันอีก 2 ชนิดตามสูตร กวนให้เข้ากัน แล้วเทใส่ขวดแก้วเก็บไว้ ใช้ทาบนตาปลาวันละ 2 ครั้ง ทำเป็นประจำทุกวันเมื่อเริ่มเกิดอาการ
10. ใช้ยา Duofilm มาทาได้ผลดีเยี่ยม
ไม่ได้มาโฆษณายายี่ห้อนี้นะคะ ให้ไปหาซื้อยาชนิดนี้ที่ร้านขายยา แล้วเอามาทาอย่างต่อเนื่อง เรื่องตามคำแนะนำของแพทย์ ทาไปเรื่อยๆ แล้วตาปลาจะหลุดออกเอง ระยะเวลานั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นมานานแค่ไหนนั่นเอง
ส่วนใครที่เคยได้ยินคนแนะนำให้เอาธูปจี้ตาปลา หรือใช้ของมีคมเฉือนตาปลาออก ข้อเตือนไว้ตรงนี้เลยค่ะว่าเป็นวิธีที่อันตรายมาก เพราะนอกจากอาจไม่ได้ช่วยให้ตาปลาหายแล้ว ยังทำให้เกิดแผลอักเสบติดเชื้อตามมาเป็นของแถม แบบนี้ไม่ไหวแน่
ก่อนจะเป็นตาปลาที่เท้า หรือรักษาตาปลาหายไปแล้วไม่อยากกลับมาเป็นซ้ำอีกรอบ ก็ต้องรู้จักเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับตัวเอง ตามนี้เลย
1. เลือกใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า ไม่คับเกินไป หรือหลวมเกินไป เพราะไม่ว่ารองเท้าจะคับหรือหลวมก็ทำให้นิ้วเท้าเสียดสีกัน
2. หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง รองเท้าหัวแหลม รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างกระดูกเท้า รองเท้าพวกนี้จะไปบีบรัดทำให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทาง และทำให้เกิดการเสียดสีมากขึ้น แต่สำหรับสาว ๆ ที่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลือกรองเท้าส้นสูงที่มีแผ่นหนุนด้านหน้า เพื่อลดแรงกดที่นิ้วเท้า และไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงยืนเดินนานจนเกินไป ควรหารองเท้าสบาย ๆ ไปเปลี่ยนระหว่างวันด้วย
3. หาฟองน้ำหรือแผ่นรองเท้ามาใส่เพิ่มในรองเท้า เพื่อลดการเสียดสีระหว่างรองเท้ากับผิวหนัง
4. เลือกใส่รองเท้าที่เหมาะกับกิจกรรมที่ทำ เช่น รองเท้าเทนนิสไม่ควรใส่มาวิ่ง
5. ถ้าชอบมีตาปลาเกิดขึ้นระหว่างง่ามนิ้วเท้า อาจใช้สำลีหรือฟองน้ำบุระหว่างง่ามนิ้วเท้าไว้ เพื่อป้องกันการเสียดสี
6. หากตาปลาเกิดจากมีเท้าผิดรูป หรือการลงน้ำหนักของเท้ามีความผิดปกติ อาจเลือกใช้รองเท้าที่ออกแบบเป็นพิเศษที่เหมาะสมกับความผิดปกติแต่ละชนิด
ถ้าใครที่มีตาปลาขึ้นที่มือ ก็ควรใส่ถุงมือหนา ๆ เวลาต้องทำงานที่รับแรงเสียดสี หรือถ้าใครมีน้ำหนักตัวเกิน ก็ต้องลดน้ำหนักลงบ้าง เพื่อลดการเสียดสีเช่นเดียวกัน